ความรู้เบื้องต้น เกี่ยวกับองค์กรปกครองท้องถิ่นไทย
| |||
|
วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
16.ความรู้เบื้องต้น เกี่ยวกับองค์กรปกครองท้องถิ่นไทย
15.สนธิสัญญาเเละข้อตกลงระหว่างประเทศ
สนธิสัญญาเเละข้อตกลงระหว่างประเทศ
- ความสัมพันธ์ระดับทวิภาคี: สนธิสัญญาเเละข้อตกลงระหว่างประเทศ
เเถลงการณ์ร่วมระหว่างประเทศไทย - ประเทศอิสราเอล
การหารืออย่างเป็นทางการระหว่างกระทรวงการต่างประเทศของไทยเเละอิสราเอลกรุงเยรููซาเลม ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๕การหารืออย่างเป็นทางการครั้งเเรกระหว่างกระทรวงการต่างประเทศของไทยเเละอิสรา-เอลถูกจัดขึ้น ณ กรุงเยรูซาเลม เืมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๕การประชุมจัดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศเเห่งมิตรภาพเเละัความร่วมมือซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันเเน่นเเฟ้นเเละอบอุ่นระหว่างสองประเทศ ในระหว่างการประชุมได้มีการเเจ้งให้ทราบถึงข้อมูลปัจจุบันใีนระดับทวิภาคี ภูมิภาค เเละพหุภาคี รวมทั้งการส่ง-เสริมความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในเรื่องต่าง ๆ เช่น เเรงงาน การค้า การเกษตรความร่วมมือทางเศรษฐกิจเเละการปฏิบัติการ การเเลกเปลี่ยนวัฒนธรรม เเละความสัม-พันธ์ของประชาชนของทั้่งสองประเทศคณะผู้เข้าร่วมการหารือจากประเทศไทยนำโดย นายสนั่นชาติ เทพหัสดิน ณ อยุธยาอธิบดีกรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลางเเละเเอฟริกา กระทรวงการต่างประเทศ เเละฝ่ายอิสราเอลนำโดยรองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ นายซวี กาไบ ผู้เข้าร่วมการหารืออื่น ๆ ได้เเก่ ข้าราชการจากกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตร เเละกระทรวงเเรงงานของทั้งสองประเทศการหารืออย่างเป็นทางการครั้งที่สองจะมีในราชอาณาจักรไทยในปี พ.ศ. ๒๕๔๕สนธิสัญญาระหว่างอิสราเอล - ไทย
· หนังสือแลกเปลี่ยนประกอบความตกลงเกี่ยวกับการยกเว้นการตรวจลงตราผู้ถือหนัง-สือเดินทางทูตและราชการอิสราเอล-ไทยกรุงเทพ ฯ - ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๓· ความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างรัฐบาลแห่งรัฐอิสราเอลและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกรุงเทพ ฯ - ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๑· การแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการปรับปรุงความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างรัฐบาลแห่งรัฐอิสราเอลและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกรุงเทพ ฯ - ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๒ ถึง ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๒· สนธิสัญญาเพื่อเว้นการเก็บภาษีซ้อนและป้องกันการหลีกเลี่ยงรัษฎากรในส่วนเกี่ยว กับภาษีเก็บจากเงินได้ระหว่างอิสราเอลและประเทศไทยกรุงเทพ ฯ - ๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๙· การแลกเปลี่ยนสัตยาบันสารของสนธิสัญญาเพื่อเว้นการเก็บภาษีซ้อนและป้องกันการหลีกเลี่ยงรัษฎากรในส่วนเกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ระหว่างอิสราเอลและประเทศไทย· ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งรัฐอิสราเอลและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน (ยังไม่ได้ลงนาม)กรุงเทพ ฯ - ๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓· สนธิสัญญาว่าด้วยความร่วมมือด้านการการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาในคดีอาญาระหว่างรัฐบาลแห่งรัฐอิสราเอลและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกรุงเทพ ฯ - ๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๐· บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งอิสราเอลและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยเกี่ยวกับการจัดทำแปลงสาธิตการเกษตรไทย-อิสราเอลสำหรับการปลูกพืชมูลค่าสูงแบบอาศัยชลประทานบนพื้นที่ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น (ยังไม่ได้ลงนาม)กรุงเทพ ฯ - ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
14.ข้อความเบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
ข้อความเบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ

ข้อความเบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law)
ส่วนหนึ่งของคู่มือการจดบันทึกการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการทรมาน จัดทำโดยมูลนิธิผสานวัฒนธรรม
ตอนที่ 1: ที่มาและแนวคิดเบื้องต้น
กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศเป็นกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐด้วยกัน และหลายๆ รัฐ กฎหมายระหว่างประเทศประกอบไปด้วยกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรและกฎหมายจารีตประเพณี ที่ประกอบไปด้วยข้อตกลงตามกฎหมายว่ารัฐทั้งสองหรือระหว่างหลายๆ รัฐจะปฏิบัติต่อกันตามหลักการที่ตกลงกัน
กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ หรือเรียกว่ากฎหมายสงคราม หรือกฎของสงคราม วัตถุประสงค์ของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศก็เพื่อจำกัดขอบเขตของสงคราม ป้องกันไม่ให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้อง และ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสงครามได้รับผลกระทบ และเพื่อจำกัดประเภทอาวุธและยุทธวิธีทางการสงคราม
ส่วนหนึ่งของคู่มือการจดบันทึกการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการทรมาน จัดทำโดยมูลนิธิผสานวัฒนธรรม
ตอนที่ 1: ที่มาและแนวคิดเบื้องต้น
กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศเป็นกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐด้วยกัน และหลายๆ รัฐ กฎหมายระหว่างประเทศประกอบไปด้วยกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรและกฎหมายจารีตประเพณี ที่ประกอบไปด้วยข้อตกลงตามกฎหมายว่ารัฐทั้งสองหรือระหว่างหลายๆ รัฐจะปฏิบัติต่อกันตามหลักการที่ตกลงกัน
กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ หรือเรียกว่ากฎหมายสงคราม หรือกฎของสงคราม วัตถุประสงค์ของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศก็เพื่อจำกัดขอบเขตของสงคราม ป้องกันไม่ให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้อง และ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสงครามได้รับผลกระทบ และเพื่อจำกัดประเภทอาวุธและยุทธวิธีทางการสงคราม

หลักการกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศดังกล่าวก่อให้เกิดปฏิญญาเจนีวา ปี 1949 มีทั้งสิ้น 4 ฉบับ ฉบับที่ 1 เน้นเรื่องการปกป้องผู้บาดเจ็บและเจ็บป่วยในการสู้รบสงคราม ฉบับที่ 2 เน้นการปกป้องผู้บาดเจ็บและเจ็บป่วยในการสู้รบสงครามในทะเล ฉบับที่ 3 เน้นการปฏิบัติต่อเชลยศึก ฉบับที่ 4 เน้นการป้องกันพลเรือนในระหว่างสงคราม
การคุ้มครองเด็กในกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศมีความสำคัญโดยระบุว่าเด็กต้องได้รับการปกป้องเป็นกรณีพิเศษ ตามมาตรา 4 (Geneva Convention ฉบับที่สาม) เด็กต้องได้รับการเคารพและต้องไม่ได้รับการปฏิบัติใดใดที่จะเป็นการทำร้ายร่างกาย คู่สงครามจะต้องดูแลและให้ความช่วยเหลือเด็กตามความต้องการของเขา อีกทั้งในมาตรา 77 (art. 77- พิธีสารเลือกรับฉบับที่ 1) ห้ามไม่ให้มีการใช้ทหารเด็กและให้มีส่วนร่วมในการโจมตี ทหารเด็กต้องได้รับการปฏิบัติอย่างดี
การปกป้องผู้หญิงในภาวะสงครามเป็นหลักการที่สำคัญอีกประการหนึ่งโดยมีการกำหนดให้ปกป้องผู้หญิง ทั้งที่ท้อง และที่เป็นแม่ของเด็กเล็ก ระบุไว้ใน Geneva Convention ฉบับที่สอง และในพิธีสารเลือกรับฉบับที่ 1 ห้ามทำร้ายศักดิ์ศรีแห่งสตรี ข่มขืน บังคับให้เป็นหญิงบริการ และห้ามไม่ให้มีการทำร้ายใดใด และใน Geneva Convention ฉบับที่สาม และฉบับที่สี่ รวมทั้งในพิธีสารเลือกรับฉบับที่ 1 การควบคุมตัวสตรีและห้ามไม่ให้ประหารชีวิตสตรี
กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศเป็นกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐด้วยกัน และหลายๆ รัฐ กฎหมายระหว่างประเทศประกอบไปด้วยกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรและกฎหมายจารีตประเพณี ที่ประกอบไปด้วยข้อตกลงตามกฎหมายว่ารัฐทั้งสองหรือระหว่างหลายๆ รัฐจะปฏิบัติต่อกันตามหลักการที่ตกลงกัน
กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศใช้ในสถานการณ์ความขัดแย้งทางอาวุธ (armed conflict) แต่ไม่ใช่กฎหมายที่กำหนดว่ารัฐจะใช้อาวุธต่อกันอย่างไร ซึ่งกำหนดไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติหรือในหลักการตามภาษาลาตินที่ว่า JUS AD BELLUM (กฎหมายที่จะทำสงคราม) แต่กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศเป็นกฎหมายในสงครามตามหลักการในภาษาลาตินที่ว่า JUS IN BELLUM (กฎหมายในสงคราม)
กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศได้บัญญัติหลักการไว้ใน Geneva Convention ทั้งสี่ฉบับที่กล่าวข้างต้น ปี 1949 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศเกือบทุกประเทศในโลกได้ให้การรับรอง และต่อมาได้เพิ่มเติมพิธีสารเลือกรับเกี่ยวกับการปกป้องเหยื่อจากความขัดแย้งทางอาวุธด้วยในปี 1977 และต่อมามีการกำหนดอนุสัญญาว่าด้วยเรื่องการห้ามใช้อาวุธชีวภาพในปี 1972 การห้ามใช้ทุนระเบิดฝังดิน ในปี 1997 การห้ามใช้อาวุธเคมีในปี 1993 และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กและเด็กกับการมีส่วนร่วมในการสงครามในปี 2000
กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศใช้ในสถานการณ์ความขัดแย้ง (armed conflict) เท่านั้น ทั้งนี้ไม่ใช่ในสถานการณ์ที่เป็นความรุนแรงครั้งคราว และเป็นการจราจล หรือความตึงเครียดทางการเมือง กฎหมายมนุฯจะใช้เมื่อมีภาวะสงครามหรือสถานการณ์ความขัดแย้ง (armed conflict) และมีผลให้คู่สงครามปฏิบัติต่อกันอย่างเท่าเทียมในการสู้รบ ไม่ละเมิดกฎหมายในสงคราม หรือกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศต่อกัน
กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศได้ระบุความแตกต่างของสภาวะสงครามเป็นสองระดับคือ international และ non- international armed conflict ในที่นี่ International armed conflict ความขัดแย้งทางอาวุธระหว่างประเทศ เกิดขึ้นเมื่อมีสงครามระหว่างรัฐสองรัฐหรือมากกว่า ซึ่งจะต้องมีการบังคับใช้อนุสัญญา Genevaทั้งสี่ฉบับ รวมทั้งพิธีสารเลือกรับฉบับที่ 1 ปี 1997 ที่เกี่ยวกับการปกป้องเหยื่อจากการสู้รบด้วย รวมทั้งข้อตกลงห้ามการใช้อาวุธต่างๆ ในย่อหน้าที่ 8 ของเอกสารชุดนี้ ด้วย และ non- international armed conflict ความขัดแย้งทางอาวุธที่ไม่ใช่ระหว่างประเทศ อาจเกิดขึ้นในพื้นที่หรือเขตแดนของประเทศใดประเทศหนึ่ง มีการใช้ทหารหรือกองกำลังถาวรของรัฐต่อสู้กับกองกำลังอีกฝ่ายหนึ่ง หรือมีการสนับสนุนจากกองกำลังจากรัฐอื่นด้วยก็ได้ การบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศในกรณีดังกล่าวเป็นที่
กรณีขัดแย้งกันด้วยอาวุธภายในประเทศ
ในกรณีที่เกิดความขัดแย้งถึงขั้นต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธที่ มิได้มีลักษณะของความขัดแย้งระหว่างประเทศ ศาลอาญาระหว่างประเทศ มีอำนาจศาลพิจารณาความผิดที่เป็นการละเมิดอย่างร้ายแรงตามมาตรา 3 ที่มีบัญญัติเหมือนกันในอนุสัญญาเจนีวาทั้ง 4 ฉบับ ที่ว่าด้วยการกระทำความผิดต่อบุคคล “ที่มิได้เข้าร่วมหรือมีส่วนอย่างจริงจังในความเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน” ดังต่อไปนี้ :
• การกระทำรุนแรงต่อชีวิตและการฆ่า การตัดเฉือนชิ้นส่วนหรืออวัยวะของร่างกาย การปฏิบัติอย่างโหดร้ายและการทำทารุณกรรม
• การกระทำที่เหยียดหยามศักดิ์ศรีของบุคคล โดยเฉพาะการกระทำที่ให้บุคคลอื่นอับอาย ถูกดูถูกเหยียดหยาม ถูกทำลายคุณค่าของความเป็นมนุษย์อย่างร้ายแรงมาก
• จับบุคคลอื่นเป็นตัวประกัน
• การลงโทษหรือประหารชีวิตโดยปราศจากการดำเนินการพิจารณาคดีโดยศาล ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามปกติเพื่อเป็นการให้หลักประกันด้านยุติธรรม ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าเป็นสิ่งที่ขาดมิได้

นอกจากนี้แล้ว ศาลอาญาระหว่างประเทศ ยังมีอำนาจพิจารณาคดีที่เป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมที่ร้ายแรงอื่นๆ ตามพิธีสารฉบับที่ 2 ของอนุสัญญาเจนีวา ซึ่งรวมทั้งกรณีต่างๆ ดังต่อไปนี้
1. การสั่งให้โจมตีโดยเจตนาต่อประชากรที่เป็นพลเรือนโดยรวม หรือต่อพลเรือนเป็นรายบุคคล ซึ่งไม่มีส่วนร่วมโดยตรงในการเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน
2. การสั่งให้โจมตีโดยเจตนาต่ออาคารบ้านเรือน วัสดุสิ่งของ หน่วยแพทย์หรือพยาบาล ยานพาหนะหรือบุคลากรที่ใช้ตราเครื่องหมายเฉพาะต่างๆ ตามที่ระบุไว้ในอนุสัญญาเจนีวา (เช่น ตราเครื่องหมายของกาชาด หรือวงเดือนแดง)
3. การสั่งให้โจมตีโดยเจตนาต่อบุคลากรหรือยานพาหนะที่ใช้ในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมหรือในภารกิจการรักษาสันติภาพขององค์การสหประชาชาติ
4. การสั่งให้โจมตีโดยเจตนาต่ออาคาร สิ่งก่อสร้างทางศาสนา การศึกษา ศิลปะ วิทยาศาสตร์ หรือเพื่อการกุศลอื่นใด สถานที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ โรงพยาบาล และสถานที่อื่นๆ ที่ใช้เป็นที่รวมของผู้ที่เจ็บป่วยหรือผู้ที่บาดเจ็บ โดยที่สถานดังกล่าวข้างต้นมิได้ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการทหารแต่อย่างใด
5. การปล้นสดมภ์ เมืองหรือสถานที่ต่างๆ แม้ว่าจะกระทำขณะเข้าโจมตีก็ตาม
6. การข่มขืนกระทำชำเรา การบังคับให้เป็นทาสทางเพศ การบังคับให้เป็นโสเภณี บังคับให้ตั้งครรภ์ บังคับให้ทำหมัน และการกระทำรุนแรงทางเพศด้วยรูปแบบวิธีการอื่นๆ
7. บังคับหรือเกณฑ์เด็กอายุต่ำกว่า 15 เป็นเข้าร่วมในกองกำลังติดอาวุธ หรือ กลุ่มติดอาวุธ หรือ ใช้ให้เด็กๆ เข้าร่วมอย่างแท้จริงในกรณีขัดแย้งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน
8. การสั่งให้โยกย้ายประชาชนที่เป็นพลเรือน ด้วยเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับกรณีขัดแย้งที่ขาดความชอบธรรม เว้นแต่กรณีที่ทำเพื่อความปลอดภัยของพลเรือนหรือเหตุผลทางด้านความจำเป็นทางทหารบังคับ
9. การฆ่าหรือทำให้พลรบฝ่ายปรปักษ์ได้รับบาดเจ็บอย่างโหดเหี้ยมทารุณ
10. การประกาศว่าจะไม่ไว้ชีวิตแก่ฝ่ายที่เป็นอริศัตรูหรือฝ่ายตรงข้าม แม้ว่าจะยอมจำนนหรือยอมแพ้แล้วก็ตาม
11. การทำให้บุคคลของฝ่ายตรงข้ามที่อยู่ภายใต้อำนาจของตนถูกตัดเฉือนอวัยวะหรือชิ้นส่วนใดๆ ของร่างกาย หรือใช้เป็นเครื่องทดลองทางการแพทย์หรือทางวิทยาศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นการค้นคว้าทดลองประเภทใดก็ตาม ที่ขาดความชอบธรรมทางการแพทย์ ทางทันตกรรมหรือทางการรักษาพยาบาล อันจะนำไปสู่อันตรายอย่างร้ายแรงต่อสุขภาพหรือการตายของบุคคลนั้น
12. การทำลายหรือยึดทรัพย์สินของฝ่ายตรงกันข้าม นอกเสียจากว่า การทำลายหรือการยึดครองทรัพย์สินดังกล่าวเป็นความจำเป็นที่หลีกเลี่ยงมิได้ในกรณีขัดแย้ง
1. การสั่งให้โจมตีโดยเจตนาต่อประชากรที่เป็นพลเรือนโดยรวม หรือต่อพลเรือนเป็นรายบุคคล ซึ่งไม่มีส่วนร่วมโดยตรงในการเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน
2. การสั่งให้โจมตีโดยเจตนาต่ออาคารบ้านเรือน วัสดุสิ่งของ หน่วยแพทย์หรือพยาบาล ยานพาหนะหรือบุคลากรที่ใช้ตราเครื่องหมายเฉพาะต่างๆ ตามที่ระบุไว้ในอนุสัญญาเจนีวา (เช่น ตราเครื่องหมายของกาชาด หรือวงเดือนแดง)
3. การสั่งให้โจมตีโดยเจตนาต่อบุคลากรหรือยานพาหนะที่ใช้ในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมหรือในภารกิจการรักษาสันติภาพขององค์การสหประชาชาติ
4. การสั่งให้โจมตีโดยเจตนาต่ออาคาร สิ่งก่อสร้างทางศาสนา การศึกษา ศิลปะ วิทยาศาสตร์ หรือเพื่อการกุศลอื่นใด สถานที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ โรงพยาบาล และสถานที่อื่นๆ ที่ใช้เป็นที่รวมของผู้ที่เจ็บป่วยหรือผู้ที่บาดเจ็บ โดยที่สถานดังกล่าวข้างต้นมิได้ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการทหารแต่อย่างใด
5. การปล้นสดมภ์ เมืองหรือสถานที่ต่างๆ แม้ว่าจะกระทำขณะเข้าโจมตีก็ตาม
6. การข่มขืนกระทำชำเรา การบังคับให้เป็นทาสทางเพศ การบังคับให้เป็นโสเภณี บังคับให้ตั้งครรภ์ บังคับให้ทำหมัน และการกระทำรุนแรงทางเพศด้วยรูปแบบวิธีการอื่นๆ
7. บังคับหรือเกณฑ์เด็กอายุต่ำกว่า 15 เป็นเข้าร่วมในกองกำลังติดอาวุธ หรือ กลุ่มติดอาวุธ หรือ ใช้ให้เด็กๆ เข้าร่วมอย่างแท้จริงในกรณีขัดแย้งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน
8. การสั่งให้โยกย้ายประชาชนที่เป็นพลเรือน ด้วยเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับกรณีขัดแย้งที่ขาดความชอบธรรม เว้นแต่กรณีที่ทำเพื่อความปลอดภัยของพลเรือนหรือเหตุผลทางด้านความจำเป็นทางทหารบังคับ
9. การฆ่าหรือทำให้พลรบฝ่ายปรปักษ์ได้รับบาดเจ็บอย่างโหดเหี้ยมทารุณ
10. การประกาศว่าจะไม่ไว้ชีวิตแก่ฝ่ายที่เป็นอริศัตรูหรือฝ่ายตรงข้าม แม้ว่าจะยอมจำนนหรือยอมแพ้แล้วก็ตาม
11. การทำให้บุคคลของฝ่ายตรงข้ามที่อยู่ภายใต้อำนาจของตนถูกตัดเฉือนอวัยวะหรือชิ้นส่วนใดๆ ของร่างกาย หรือใช้เป็นเครื่องทดลองทางการแพทย์หรือทางวิทยาศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นการค้นคว้าทดลองประเภทใดก็ตาม ที่ขาดความชอบธรรมทางการแพทย์ ทางทันตกรรมหรือทางการรักษาพยาบาล อันจะนำไปสู่อันตรายอย่างร้ายแรงต่อสุขภาพหรือการตายของบุคคลนั้น
12. การทำลายหรือยึดทรัพย์สินของฝ่ายตรงกันข้าม นอกเสียจากว่า การทำลายหรือการยึดครองทรัพย์สินดังกล่าวเป็นความจำเป็นที่หลีกเลี่ยงมิได้ในกรณีขัดแย้ง
13.การบัญญัติกฎหมายระหว่างประเทศที่ควรรู้
การบัญญัติกฎหมายระหว่างประเทศที่ควรรู้
การบัญญัติกฎหมายระหว่างประเทศ : กฎหมายทะเล
กฎเกณฑ์ทางกฎหมายระหว่างประเทศ ที่กำหนดเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ทางทะเลของรัฐ กฎหมายทะเลซึ่งเป็นสาขาที่เก่าแก่ที่สุดของกฎหมายระหว่างประเทศนั้น ได้วิวัฒนาการมาจากจรรยาบรรณโบราณที่อิงอาศัยจารีตประเพณีในส่วนที่เกี่ยว ข้องกับสิทธิและหน้าที่ของพ่อค้าและเจ้าของเรือ บรรทัดฐานเดิมที่มีอยู่ก่อนกฎหมายทะเล ได้แก่ (1) กฎหมายโรเดียน (คริสตศตวรรษที่ 9) (2) ตาบูลา อมัลฟิตานา (คริสตศตวรรณที่ 11) (3) กฎหมายแห่งโอลีรอน (คริสตศตวรรษที่ 12) (4) กฎหมายวิสบี (คริสตศตวรรษที่ 13 และ 14) และ (5) คอนโตดาโตเดล แมเร (คริสตศตวรรษที่ 14) ที่มาของกฎหมายทะเลได้แก่ (1) จารีตประเพณีระหว่างประเทศ (2) การบัญญัติกฎหมายภายในชาติ (3) สนธิสัญญา และ (4) ผลงานของการประชุมระหว่างประเทศด้วยเรื่องเรื่องเหล่านี้
ความสำคัญ กฎหมายทะเลอิงหลักพื้นฐาน 2 หลัก คือ (1) หลักเสรีภาพของทุกรัฐที่จะใช้ทะเลหลวงโดยปราศจากการแทรกแซง และ (2) หลักความรับผิดชอบของแต่ละรัฐที่จะรักษาความสงบเรียบร้อยทางทะเล แต่ละรัฐมีอำนาจศาลเหนือเรือของตนที่อยู่ภายในน่านน้ำอาณาเขตของตน เรือที่อยู่ในน่านน้ำอาณาเขตของรัฐต่างชาติยังคงอยู่ภายใต้เขตอำนาจศาลของรัฐที่เรือนั้นติดธง เว้นเสียแต่ว่าเรือนั้นจะคุกคามความสงบและความเรียบร้อยของรัฏฐาธิปัตย์ชายฝั่ง การประชุมที่เจนีวาปี ค.ศ. 1958 (ยูเอ็นซีแอลโอเอส – วัน) และการประชุมที่เจนีวาปี ค.ศ. 1960 (ยูเอ็นซีแอลโอเอส – ทู) เป็นการเพิ่มเติมกฎหมายทะเลด้วยอนุสัญญาต่าง ๆ คือ (1) อนุสัญญาว่าด้วยการให้นิยามของเส้นฐานที่ใช้วัดทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง (2) อนุสัญญาว่าด้วยการสัญจรผ่านโดยบริสุทธิ์ (3) อนุสัญญาว่าด้วยการสำรวจอาหารและแร่ธาตุจากดินใต้ผิวดินของเขตไหล่ทวีปและ จากท้องทะเล และ (4) อนุสัญญาว่าด้วยการอนุรักษ์ชีวิตสัตว์และพืชในทะเล ส่วนการประชุมกฎหมายระหว่างประเทศระลอกใหม่เกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1973 ถึง 1982 (ยูเอ็นซีแอลโอเอส – ทรี) ได้มีข้อตกลงต่าง ๆ คือ (1) ข้อตกลงว่าด้วยเขตอำนาจศาลของชาติเหนือทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ (2) ข้อตกลงว่าด้วยสิทธิของรัฐชายฝั่งเหนือเขตเศรษกิจจำเพาะสองร้อยไมล์ (อีอีเอฟ) และ (3) ข้อตกลงว่าด้วยการสัญจรผ่าน สัญจรเหนือ หรือสัญจรใต้ช่องแคบที่ใช้สำหรับการสัญจรระหว่างประเทศ ส่วนเรื่องที่ยังตกลงกันไม่ได้ก็คือ เรื่องที่เกี่ยวกับลักษณะของการควบคุมเหนือการทำเหมืองแร่ในทะเลลึกและการ เข้าไปใช้ทรัพยากรทางทะเลในรูปแบบอื่น ๆ นอกเขตเศรษฐกิจจำเพาะสองร้อยไมล์ ประเด็นที่ยังตกลงกับยังไม่ได้นี้ได้ผูกโยงไว้กับขอบเขตของอำนาจที่จะมอบให้ แก่องค์การท้องทะเลระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติที่ได้รับการเสนอให้จัดตั้ง ขึ้นมา ซึ่งองค์การฯ นี้จะทำหน้าที่ควบคุมการสำรวจและการเข้าไปใช้ทรัพยากรในทะเลลึก เมื่อสามารถบรรลุข้อตกลงในเรื่องสำคัญต่อไปนี้ได้แล้ว คือ (1) การลงคะแนนเสียง (2) การออกใบอนุญาต และ (3) การเก็บค่าภาคหลวง รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ไม่พอใจกับข้อกำหนดดังกล่าวจึงได้ปฏิเสธอนุสัญญาว่าด้วยกฎหมายทะเลแห่งสห ประชาชาติปี ค.ศ. 1982
การบัญญัติกฎมายระหว่างประเทศ : การพิจารณาคดีอาชญากรรมสงคราม
การพิจารณาคดีของบุคคลจากรัฐที่แพ้สงครามเพื่อกำหนดโทษและบทลงโทษของบุคคลไม่ ใช่ของชาติในฐานะที่ประกอบอาชญากรรมในระหว่างสงครามหรือในฐานะที่เป็นผู้ก่อ สงคราม สนธิสัญญาแวร์ซายส์หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งได้วางไว้เป็นบรรทัดฐานกำหนด ให้มีการพิจารณาคดีและทำการลงโทษจักรพรรดิเยอรมันและบุคคลในกองทัพเยอรมัน แต่ฝ่ายพันธมิตรมิได้ดำเนินการพิจารณาคดีแต่อย่างใด หลังสงครามโลกครั้งที่สองอาชญากรสงครามเยอรมันคนสำคัญจำนวน 22 คน ถูกศาลทหารระหว่างประเทศ พิจารณาคดีที่เมืองนูเรมเบิร์ก ซึ่งศาลทหารฯ คณะนี้ประกอบด้วยคณะลูกขุนจากอังกฤษ ฝรั่งเศส สหภาพโซเวียต และสหรัฐอเมริกา จำเลยถูกกล่าวหาว่ามีความผิดฐาน (1) ประกอบอาชญากรรมต่อต้านสันติภาพ (2) ประกอบอาชญากรรมสงคราม และ (3) ประกอบอาชญากรรมต่อต้านมนุษยชาติ จำเลย 12 คนถูกตัดสินให้ประหารชีวิต 7 คนได้รับโทษจำคุก ส่วนอีก 3 คนพ้นผิด ภายใต้กฏบัตรศาลทหารระหว่างประเทศสำหรับตะวันออกไกลนั้นมีอาชญากรสงคราม ญี่ปุ่นคนสำคัญ ๆ ถูกพิจารณาคดีในกรุงโตเกียวด้วยข้อหาทำนองเดียวกับที่นูเรมเบิร์ก โดยคณะลูกขุนที่เป็นตัวแทนของ 11 ประเทศที่ทำสงครามกับญี่ปุ่น
ความสำคัญ การพิจารณาคดีอาชญากรสงครามที่นูเรมเบิร์กและที่โตเกียว เป็นการเปิดหน้าใหม่ในการพัฒนากฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสงคราม ก่อนหน้าสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสงครามโลกครั้งที่สองนั้นมีกฎหมายจารีต ประเพณีกำหนดไว้ว่า เมื่อสงครามยุติลงแล้วก็ให้ทำการนิรโทษกรรมแก่บุคคลที่เป็นศัตรูทั้งปวงซึ่ง ได้กระทำความผิดเกี่ยวกับการรับราชการทหารของพวกเขาเสีย แต่จากความเหี้ยมโหดของสงครามเบ็ดเสร็จก็ดี และจากความเกลียดชังกันอย่างเข้ากระดูกดำอันเกิดจากความขัดแย้งทางด้าน อุดมการณ์ก็ดี ทำให้มีคนตั้งคำถามขึ้นว่าการให้นิรโทษกรรมนี้จะมีการนำกลับมาใช้กันอีกหรือ ไม่ปฏิกิริยาทางกฎหมายต่อการพิจราณาคดีที่นูเรมเบิร์กและที่โตเกียวมีแตกต่างกันไป การวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการตัดสินคดีด้วยข้อหาว่าประกอบอาชาญกรรมสงคราม และข้อหาว่าประกอบอาชญากรรมต่อต้านมนุษยชาตินั้นมีน้อย เนื่องจากมีกฎหมายจารีตประเพณีได้ให้การรับรองสิทธิของผู้ชนะให้สามารถ พิจารณาลงโทษบุคคลในกองทัพของศัตรูในโทษฐานละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศได้ แต่แนวความคิดที่ว่าจำเลยมีโทษฐานประกอบอาชญากรรมต่อต้านสันติภาพนั้นเป็น การเปิดข้อกล่าวหาใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนหน้านี้ ได้มีการยกประเด็นปัญหาทางกฎหมายขึ้นมาถามในส่วนที่เกี่ยวกับข้อกล่าวหาว่า ประกอบอาชญากรรมต่อต้านสันติภาพดังนี้ (1) เราจะสามารถแสดงข้อแตกต่างระหว่างสงครามรุกรานที่ถือว่าเป็นอาชญากรรม กับอาชญากรรมที่กระทำในช่วงที่เกิดสงครามได้อย่างกระจ่างชัดหรือไม่ (2) กติกาสัญญาเคลลอกก์–บริอังด์ ที่ทำให้สงครามรุกรานเป็นสิ่งผิดกฎหมายนั้นมีความหมายบ่งบอกให้บุคคลต้องรับ ผิดชอบในอาชญากรรมด้วยใช่หรือไม่ (3) ข้อแตกต่างระหว่างสงครามรุกรานกับสงครามป้องกันตัวมีความกระจ่างชัดพอที่จะ นำมาใช้ประเมินความรับผิดชอบทางด้านอาชญากรรมของบุคคลได้หรือไม่ และ (4) ศาลที่เมืองนูเรมเบิร์กซึ่งประกอบด้วยคณะลูกขุนจากแค่ 4 รัฐเท่านั้น จะถือว่าเป็นศาลระหว่างประเทศที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประชาคมโลกได้หรือ ไม่ สหประชาชาติได้พยายามหาทางสร้างความถูกต้องทางกฎหมายให้แก่หลักการที่ว่า บุคคลจะต้องรับผิดชอบต่ออาชญากรรมที่ใช้เป็นรากฐานสำหรับพิจารณาคดี อาชญากรรมสงคราม โดยการพัฒนาหลักกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยอาชญากรรมต่อต้านสันติภาพและต่อ ต้านความมั่นคงของมนุษยชาติขึ้นมา สมัชชาใหญ่ได้มอบหมายให้คณะกรรมาธิการกฎหมายระหว่างประเทศ (ไอแอลซี) ทำการตระเตรียมร่างหลักการนี้ แต่ปัญหาการพัฒนาคำนิยามของคำว่า “การรุกราน” ให้เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปก็ได้มาเป็นตัวสกัดกั้นมิให้กระบวนการในเรื่องนี้ คือหน้าต่อไปได้
ความสำคัญ การพิจารณาคดีอาชญากรสงครามที่นูเรมเบิร์กและที่โตเกียว เป็นการเปิดหน้าใหม่ในการพัฒนากฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสงคราม ก่อนหน้าสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสงครามโลกครั้งที่สองนั้นมีกฎหมายจารีต ประเพณีกำหนดไว้ว่า เมื่อสงครามยุติลงแล้วก็ให้ทำการนิรโทษกรรมแก่บุคคลที่เป็นศัตรูทั้งปวงซึ่ง ได้กระทำความผิดเกี่ยวกับการรับราชการทหารของพวกเขาเสีย แต่จากความเหี้ยมโหดของสงครามเบ็ดเสร็จก็ดี และจากความเกลียดชังกันอย่างเข้ากระดูกดำอันเกิดจากความขัดแย้งทางด้าน อุดมการณ์ก็ดี ทำให้มีคนตั้งคำถามขึ้นว่าการให้นิรโทษกรรมนี้จะมีการนำกลับมาใช้กันอีกหรือ ไม่ปฏิกิริยาทางกฎหมายต่อการพิจราณาคดีที่นูเรมเบิร์กและที่โตเกียวมีแตกต่างกันไป การวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการตัดสินคดีด้วยข้อหาว่าประกอบอาชาญกรรมสงคราม และข้อหาว่าประกอบอาชญากรรมต่อต้านมนุษยชาตินั้นมีน้อย เนื่องจากมีกฎหมายจารีตประเพณีได้ให้การรับรองสิทธิของผู้ชนะให้สามารถ พิจารณาลงโทษบุคคลในกองทัพของศัตรูในโทษฐานละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศได้ แต่แนวความคิดที่ว่าจำเลยมีโทษฐานประกอบอาชญากรรมต่อต้านสันติภาพนั้นเป็น การเปิดข้อกล่าวหาใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนหน้านี้ ได้มีการยกประเด็นปัญหาทางกฎหมายขึ้นมาถามในส่วนที่เกี่ยวกับข้อกล่าวหาว่า ประกอบอาชญากรรมต่อต้านสันติภาพดังนี้ (1) เราจะสามารถแสดงข้อแตกต่างระหว่างสงครามรุกรานที่ถือว่าเป็นอาชญากรรม กับอาชญากรรมที่กระทำในช่วงที่เกิดสงครามได้อย่างกระจ่างชัดหรือไม่ (2) กติกาสัญญาเคลลอกก์–บริอังด์ ที่ทำให้สงครามรุกรานเป็นสิ่งผิดกฎหมายนั้นมีความหมายบ่งบอกให้บุคคลต้องรับ ผิดชอบในอาชญากรรมด้วยใช่หรือไม่ (3) ข้อแตกต่างระหว่างสงครามรุกรานกับสงครามป้องกันตัวมีความกระจ่างชัดพอที่จะ นำมาใช้ประเมินความรับผิดชอบทางด้านอาชญากรรมของบุคคลได้หรือไม่ และ (4) ศาลที่เมืองนูเรมเบิร์กซึ่งประกอบด้วยคณะลูกขุนจากแค่ 4 รัฐเท่านั้น จะถือว่าเป็นศาลระหว่างประเทศที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประชาคมโลกได้หรือ ไม่ สหประชาชาติได้พยายามหาทางสร้างความถูกต้องทางกฎหมายให้แก่หลักการที่ว่า บุคคลจะต้องรับผิดชอบต่ออาชญากรรมที่ใช้เป็นรากฐานสำหรับพิจารณาคดี อาชญากรรมสงคราม โดยการพัฒนาหลักกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยอาชญากรรมต่อต้านสันติภาพและต่อ ต้านความมั่นคงของมนุษยชาติขึ้นมา สมัชชาใหญ่ได้มอบหมายให้คณะกรรมาธิการกฎหมายระหว่างประเทศ (ไอแอลซี) ทำการตระเตรียมร่างหลักการนี้ แต่ปัญหาการพัฒนาคำนิยามของคำว่า “การรุกราน” ให้เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปก็ได้มาเป็นตัวสกัดกั้นมิให้กระบวนการในเรื่องนี้ คือหน้าต่อไปได้
ความสำคัญ ในโลกซึ่งประกอบด้วยรัฐที่มีเอกราชและอำนาจอธิปไตยจำนวนมากกว่า 180 ชาตินี้ ก็ย่อมจะมีปัญหาของเขตอำนาจตามกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องในรูปแบบของการขัดแย้ง ระหว่างประเทศ การเจรจากัน และการอนุญาตโตตุลาการ การขัดแย้งเกี่ยวกับเขตอำนาจทางกฎหมายระหว่างรัฐมักจะเกี่ยวกับข้องกับ เรื่องต่อไปนี้ (1) ความเป็นพลเมือง (2) เส้นพรมแดน (3) น่านฟ้า (4) ทะเลหลวง (5) สิทธิในการประมง (6) น่านน้ำอาณาเขต (7) การผ่านโดยบริสุทธิ์ และ (8) อวกาศ

ความสำคัญ การได้ดินแดนเพิ่มโดยการงอกของแผ่นดินนี้ อาจสร้างปัญหาทางการเมืองและทางเศรษฐกิจที่ร้ายแรงที่เกี่ยวข้องกับเขตอำนาจของกฎหมายเหนือดินแดนได้ ปัญหาเหล่านี้อาจจะหมายถึงการเกิดเกาะในแม่น้ำที่ใช้เป็นเส้นพรมแดนระหว่าง ประเทศ หรือเกิดเกาะหรือดินดอนสามเหลี่ยมในเส้นแนวชายฝั่ง ซึ่งเป็นการขยายน่านน้ำอาณาเขตของรัฐออกไปในมหาสมุทรมากขึ้น

ความสำคัญ เนื่องจากรัฐมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและการค้ากับการพาณิชย์ก็มีความสำคัญเพิ่ม มากขึ้นสำหรับรัฐต่าง ๆ เหล่านี้ ดังนั้นจึงก่อให้เกิดกฎเกณฑ์และข้อบังคับระหว่างประเทศมีปริมาณเพิ่มขึ้นมาก มาย เมื่อกฎเกณฑ์และข้อบังคับระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นมามากเช่นนี้แล้วรัฐต่าง ๆ ให้การรับรองถึงความจำเป็นว่าจะต้องมีแนวทางปฏิบัติเป็นอย่างเดียวกันมาก ขึ้น ความพยายามที่จะสร้างหลักปฏิบัติให้เป็นแบบเดียวกับของกฎหมายพาณิชยนาวีโดย สนธิสัญญาและการออกกฎหมายลูกต่าง ๆ ได้ประสบความสำเร็จมากพอสมควรในด้านต่าง ๆ คือ (1) ด้านการควบคุมสุขลักษณะ (2) ด้านการกู้ภัยและการให้ความช่วยเหลือ (3) ด้านการโดนกันของเรือ (4) ด้านความปลอดภัยทางทะเล (5) ด้านเส้นขีดเครื่องหมายแนวบรรทุกเต็มที่ (6) ด้านการใช้ท่าเรือพาณิชยนาวี (7) ด้านการประมงในทะเลหลวง และ (8) ด้านทะเลอาณาเขต แต่ถ้าหากไม่มีสนธิสัญญาต่าง ๆ ดังกล่าว เขตอำนาจเหนือการพาณิชยนาวีก็จะถูกกำหนดโดยกฎหมายภายในของรัฐต่าง ๆ
เ

ความสำคัญ เขตอำนาจเหนือน่านฟ้าแห่งชาติเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นเพราะ เทคโนโลยีได้ทำให้การพาณิชย์ทางอากาศทำได้อย่างรวดเร็วและทำได้ในปริมาณที่ เพิ่มมากยิ่งขึ้น ก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขตอำนาจเหนือน่านฟ้าแห่งชาติมี 2 ทฤษฎี คือ (1) ทฤษฎีที่ให้เสรีภาพในการสัญจรทางอากาศ และ (2) ทฤษฎีที่ให้รัฐชาติทำการควบคุมการสัญจรทางอากาศ เมื่อได้มีการประดิษฐ์เครื่องบินทิ้งระเบิดและมีเครื่องตรวจจับทางอากาศที่ มีประสิทธิผลขึ้นมาแล้ว จึงได้มีการยอมรับกันโดยทั่วไปให้รัฐชาติทำการควบคุมการสัญจรทางอากาศนี้ แต่การพัฒนาทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้น มาทำให้เกิดปัญหาทางด้านปฏิบัติว่าอำนาจอธิปไตยของชาติเหนือน่านฟ้านี้จะให้ เหนือขึ้นไปไกลได้ขนาดใด เมื่อมีการส่งจรวด อาวุธปล่อย ดาวเทียม และยานอวกาศไปกลับโลกได้แล้ว ก็เป็นการเปิดศักราชใหม่ให้มีการเจรจาเพื่อพัฒนากฎหมายว่าด้วยอวกาศระหว่างประเทศ
ความสำคัญ การขยายอำนาจอธิปไตยโดยการผนวกดินแดนนี้ อาจจะใช้ข้ออ้างต่าง ๆ เช่น (1) เป็นดินแดนที่ตนค้นพบเอง (2) เป็นดินแดนในความยึดครองของตนเอง หรือ (3) เป็นดินแดนที่ตนเองเข้าครอบครองมานานอย่างต่อเนื่อง เมื่อปี ค.ศ. 1938 ประเทศเยอรมนีประกาศผนวกประเทศออสเตรียโดยอ้างถึงพฤติกรรมของรัฐบาลออสเตรีย ว่าเป็นเหตุให้ต้องทำการเปลี่ยนแปลงออสเตรียมาเป็นรัฐหนึ่งของอาณาจักรไรช์ ของเยอรมัน การผนวกดินแดนอาจจะไม่ได้รับการต่อต้านจากฝ่ายที่สามก็ได้ ตัวอย่างเช่น กรณีของการผนวกเกาะแจนมาเยินโดยนอร์เวย์เมื่อปี ค.ศ. 1920 แต่การประกาศผนวกดินแดนอาจได้รับการประท้วงและอ้างสิทธิ์แย้งขึ้นมาได้ ตัวอย่างเช่น กรณีเกี่ยวกับสถานภาพทางกฎหมายของกรีนแลนด์ตะวันออกเมื่อปี ค.ศ. 1933 ซึ่งในกรณีนี้ผู้อ้างสิทธ์ทั้งสองฝ่ายคือเดนมาร์กและนอร์เวย์ได้นำเรื่อง เสนอให้ ศาลยุติธรรมถาวรระหว่างประเทศได้พิจารณา ซึ่งศาลฯ ได้ตัดสินให้ฝ่ายเดนมาร์กเป็นผู้ชนะคดี
12.รูปแบบการปกครองระบอบเผด็จการ
รูปแบบการปกครองระบอบเผด็จการ

ลัทธิเผด็จการมีอยู่คู่กับสังคมโลกมาตั้งแต่มนุษย์รวมกันเป็นสังคมยุคแรก ๆ เช่น สังคมเผ่าที่มีหัวหน้าเผ่าที่เป็นผู้ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ปัจจุบัน สังคมได้วิวัฒนาการไปมาก รูปแบบการปกครองของลัทธิเผด็จการก็มีหลากหลาย ทั้งนี้เนื่องจากประเทศนั้น ๆ ได้ พยายามที่จะเอาลัทธินี้มาเสริมแต่งให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของตน เนื่องจากผู้นำเหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ตนอยู่ในอำนาจนานมากที่สุด

1.เผด็จการอำนาจนิยม หมายถึง การปกครองที่ใช้อำนาจเป็นหลักเกณฑ์สำคัญ โดยมีอำนาจเป็นวิธีทางและจุดหมายปลายทาง รัฐบาลจะเข้าคุมสิทธิและเสรีภาพทางการเมืองของประชาชน และไม่ยอมให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองมีการตรวจสอบหรือใช้อำนาจสั่งปิดหนังสือพิมพ์โดยอ้างลัทธิชาตินิยมมาสร้างความ ชอบธรรมมาใช้กับอำนาจของตน แต่รัฐจะยังคงให้เสรีภาพในทางเศรษฐกิจและสังคม กล่าวคือ ประชาชนสามารถเลือกนับถือศาสนา ดำเนินชีวิตส่วนตัวและ ธุรกิจอย่างเป็นอิสระพอเหมาะสมเผด็จการอำนาจนิยมจะมีการลงโทษผู้กระทำผิดต่อเกณฑ์ของบ้านเมืองอย่างรุนแรง ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนเคารพเชื่อฟัง และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ผู้นำอำนาจนิยมนั้นจะพยายามแสวงหาอำนาจ และเมื่อได้อำนาจจะใช้อำนาจบีบบังคับและกำจัดฝ่ายตรงข้ามหรือศัตรูทางการเมือง หรือแม้แต่กลุ่มทางการเมืองอื่น ๆ ที่ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สังคมวัฒนธรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองหรืออาจได้รับผลกระทบ แต่เพียงเล็กน้อยเนื่องจากกลุ่มดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นศัตรูทางการเมืองโดยตรง

2.เผด็จการเบ็ดเสร็จ หมายถึง การปกครองที่มีผู้นำซึ่งมีอำนาจสูงสุดเป็นผู้ใช้อำนาจเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียว และอำนาจยังสามารถกำหนดจุดหมายปลายทางและวิธีการต่าง ๆ ได้โดยไม่มีขอบเขตจำกัดโดยพยายามสร้างอุดมการณ์ขึ้นมาเพื่อให้เกิดความชอบธรรมให้กับการใช้อำนาจนั้น ๆ เช่น การจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา แต่ผู้พรรคเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเข้าควบคุมอำนาจ พยายามสร้างความสำนึกให้ประชาชนเคารพเชื่อฟัง และปฏิบัติตามอำนาจรัฐหรือคำสั่งผิดอย่างรุนแรง เผด็จการประเภทนี้ใช้ความรุนแรงสังคมที่ปกครองโดยลัทธิเผด็จการ เบ็ดเสร็จ จึงมีสภาพเป็น อาณาจักรแห่งความกลัวประชาชนไม่แน่ใจในสภาพของตนเองประชาชนจึงไม่วิพากษ์วิจารณ์หรือคัดค้านผู้นำจะว่าเป็นอาชญากรที่ต่อต้านรัฐ และจะถูกกำจัดออกไป
11.การปกครองระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของไทย
การปกครองระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของไทย
การปกครองระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของไทย ได้ดำรงอยู่จนถึง พ.ศ.๒๔๗๕ จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงมาสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตย กล่าวคือ ในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ มีข้าราชการทหารและพลเรือนกลุ่มหนึ่ง ได้แก่การปฏิวัติขึ้น โดยทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาสู่ระบบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงการปกครองดังกล่าว มีดังนี้
๑. เกิดจากอิทธิพลของการมีแนวความคิดในเรื่องการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่บ้านข้าราชการที่ได้รับการศึกษามาจากยุโรป
๒. ฐานะทางการคลังของรัฐบาลเกิดทรุดลง ทำให้ต้องตัดรายจ่ายในด้านต่างๆ ลง ซึ่งรวมถึงบัญชีเงินเดือนของข้าราชการฝ่ายต่างๆ ด้วยจึงเกิดความไม่พอใจขึ้นมา
๓. คณะผู้ก่อการหลายคน มีความรู้สึกว่า ตนไม่ได้รับการยอมรับในความสามารถจากเจ้านายบางพระองค์ คณะผู้ก่อการ ซึ่งเรียกว่าตัวเองว่า "คณะราษฎร" ได้จัดตั้งรัฐบาลขึ้น
โดยมีพระยามโนปกรณ์ นิติธาดา เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก ได้ประกาศให้พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช ๒๔๗๕ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 ใช้รูปแบบการปกครองระบบรัฐสภา
๑.ลักษณะการปกครอง มีลักษณะสำคัญๆ ดังนี้คือ
๑.๑ อำนาจอธิปไตย เป็นของประชาชน
๑.๒ พระมหากษัตริย์ทรงมีฐานะเป็นประมุขของประเทศ
๑.๓ รัฐสภา เป็นสถาบันที่เป็นตัวแทนของประชาชน
๑.๔ คณะรัฐมนตรี มีหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดิน โดยรับผิดชอบต่อรัฐสภา คือจะต้องได้รับความไว้วางใจจากรัฐสภา
๑.๕ ศาล มีหน้าที่ในการพิจารณาพิพากษาคดี
๑.๖ ประชาชน มีหลักประกันในเรื่องสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค
๒. นโยบายการปกครองโดยทั่วไป คณะราษฎรได้ประกาศนโยบายการปกครองประเทศ ๖ ประการ ดังต่อไปนี้คือ ๒.๑ จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย
๒.๒ จะต้องรักษาความปลอดภัยภายในประเทศ
๒.๓ จะต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ
๒.๔ จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน
๒.๕ จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ
๒.๖ จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร
๓. การจัดระเบียบการปกครอง มีวิธีดำเนินการปกครอง ดังนี้
๓.๑ รัฐธรรมนูญกำหนดอำนาจหน้าที่และความสัมพันธ์ของสถาบันทางการปกครองที่สำคัญๆ ซึ่งได้แก่ รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล
๓.๒ จัดให้มีการเลือกตั้งโดยเสรี ตามระยะเวลาที่กำหนด
๓.๓ สมาชิกรัฐสภา ให้ความไว้วางใจบุคคลที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี หรือหัวหน้ารัฐบาล ทั้งนี้จะโดยการหยั่งเสียง หรือเลือกมาจากหัวหน้าพรรคการเมืองที่มีชื่อเสียงมาก
๓.๔ นายกรัฐมนตรี เป็นผู้เลือกบุคคลที่จะมาเป็นรัฐมนตรีร่วมรัฐบาล คณะรัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดิน ให้เป็นไปตามนโยบายที่แถลงต่อสภาผู้แทนราษฎร และจะอยู่ในตำแหน่งตามระยะเวลาที่กำหนด แต่อาจยุบสภาหากมีความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่
๓.๕ คณะรัฐมนตรี จะรับผิดชอบร่วมกันต่อรัฐสภา
๓.๖ รัฐมนตรี แต่ละคน จะรับผิดชอบการบริหารงานในกระทรวงของตน
๓.๗ การตัดสินใจแก้ปัญหาต่างๆ จะถือเสียงข้างมากเป็นหลัก
๓.๘ พระมหากษัตริย์ ทรงมีฐานะเป็นประมุขของประเทศ และทรงอยู่เหนือการเมือง
๔. ผลของการปกครองระบอบประชาธิปไตย
๔.๑ มีรัฐธรรมนูญ ในการปกครองประเทศทำให้เกิดการปกครองโดยยึดหลักกฎหมาย
๔.๒ การปกครองระบอบประชาธิปไตย มีความเหมาะสมกับสภาวะทางเศรษฐกิจทางสังคมและทางการเมือง
๔.๓ ประชาชนได้มีโอกาสเข้ามีส่วนร่วมในการปกครอง โดยใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งผู้แทนราษฎรของตน
๔.๔ ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาคกันมากขึ้น
๔.๕ ทำให้เกิดสถาบันทางการปกครองใหม่ๆ
๔.๖ ในด้านเศรษฐกิจ มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมาตรการต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจให้ดีขึ้น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)