วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

16.ความรู้เบื้องต้น เกี่ยวกับองค์กรปกครองท้องถิ่นไทย

ความรู้เบื้องต้น เกี่ยวกับองค์กรปกครองท้องถิ่นไทย
 

1. พัฒนาการขององค์กรปกครองท้องถิ่นไทย

พัฒนาการของการปกครองท้องถิ่นของไทย เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่การปฏิรูประบบราชการ ในสมัยรัชกาลที่ 5 กล่าวคือ ได้มีกฎหมายว่าด้วยการจัดกิจการท้องถิ่นฉบับแรก คือ กระราชกำหนดสุขาภิบาลกรุงเทพฯ ร.ศ.116 โดยกำหนดให้สุขาภิบาลกรุงเทพฯ มีหน้าที่ดำเนินการรักษาความสะอาด และป้องกันโรค ทำลายขยะมูลฝอย จัดสถานที่ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ สำหรับราษฎรทั่วไป ห้ามการปลูกสร้าง หรือซ่อมแซมโรงเรือน ที่จะเป็นเหตุให้เกิดโรค รวมทั้งการขนย้ายสิ่งโสโครก ที่ทำความรำคาญให้กับราษฎรไปทิ้ง เป็นต้น ต่อมาได้จัดตั้ง สุขาภิบาลท่าฉลอม เมืองสมุทรสาครขึ้น ในต่างจังหวัด เป็นแห่งแรก
ในสมัยรัชกาลที่ 6 ก็ไดตราธรรมนูญการปกครองคณะนคราภบาลดุสิตธานี พ.ศ.2461 เพื่อทดลองรูปแบบเมืองจำลอง"ดุสิตธานี" นับเป็นการปกครองในรูปเทศบาลครั้งแรก อันเป็นรูปแบบการปกครองอย่างประเทศอังกฤษ โดยกำหนดให้เป็นนิติบุคคล แยกจากส่วนกลาง มีรายได้ของตนเอง ดูแลการคมนาคม การดับเพลิง สวนสาธารณะ โรงพยาบาล สุสาน โรงฆ่าสัตว์ ดูแลโรงเรียนราษฎร์ การรักษาความสะอาด และการป้องกันโรค ทำบริการสาธารณะที่มีกำไร เช่น ตั้งโรงรับจำนำ ตลาด รถราง เป็นต้น ออกใบอนุญาต และเก็บค่าธรรมเนียมสำหรับยานพาหนะ ร้านจำหน่ายสุรา โรงละคร โรงหนัง สถานเริงรมย์ และอื่นๆ
ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศไทย ในปี พ.ศ.2475 จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ ประเทศไทยได้จัดระเบียบการบริหารราชการ เป็นราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบราชการ บริหารแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2476 โดยในส่วนของราชการส่วนท้องถิ่น ได้มีการจัดตั้ง เทศบาล ขึ้น ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.2476 (ปัจจุบันใช้ พรบ.เทศบาล พ.ศ.2496) แต่ต่อมาปรากฎว่า การดำเนินงานของเทศบาล ไม่ได้ผลเต็มที่ ตามที่มุ่งหมายไว้ จึงไม่อาจขยายการตั้งเทศบาลออกไปทุกท้องที่ ทั่วราชอาณาจักรได้ ึคงตั้งขึ้นได้เพียง 120 แห่ง ก็ระงับการจัดตั้งเทศบาลขึ้นใหม่ เป็นเวลานานหลายสิบปี และได้มีการตั้ง สุขาภิบาล ขึ้น แทยเทศบาลในท้องที่ที่ยังไม่มีฐานะ เป็นเทศบาล ตามพระราชบัญญัติสุขาภิบาล พ.ศ.2495 จนกระทั่งถึงปี 2500 จึงได้มีการยกฐานะสุขาภิบาลบางแห่ง ขึ้นเป็นเทศบาลตำบล คือ เทศบาลตำบลกระบินทร์ เทศบาลโรกสำโรง เทศบาลตำบลบัวใหญ่ เป็นต้น และกรณีที่มีการจัดตั้งจังหวัดใหม่ ก็ให้จัดตั้งเทศบาลเมืองขึ้น ในท้องถิ่นที่เป็นที่ตั้งศาลากลางจังหวัด ตามบทบัญญัติมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.2496 อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งเทศบาล และสุขาภิบาลก็ยังไม่เป็นไปโดยทั่วถึง ส่วนใหญ่จึงคงอยู่ ภายใต้การปกครองส่วนภูมิภาค ดังนั้น เพื่อแก้ความเหลื่อมล้ำในการปกครองท้องถิ่น ในเขตเทศบาล และสุขาภิบาล กับท้องถิ่นที่อยู่นอกเขตดังกล่าว จึงได้มีการจัดตั้ง องค์การบริหารส่วนตำบลขึ้น โดยตราพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการ ส่วนจังหวัด พ.ศ.2498 ให้เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่มีอำนาจหน้าที่ดำเนินกิจการส่วนจังหวัด ภายในเขตพื้นที่จังหวัดนอกเขตเทศบาล และเขตสุขาภิบาล
นับแต่นั้นมา การปกครองส่วนท้องถิ่นจึงครอบคลุมทั่วทั้งราชอาณาจักไทย กล่าวคือ ทุกพื้นที่ของประเทศไทย จะอยู่ในความรับผิดชอบของ องค์การปกครองท้องถิ่น ไม่รูปใดก็รูปหนึ่ง ซึ่งต่อมา ได้มีการประกาศใช้กฎหมายการปกครองท้องถิ่น รูปพิเศษ ได้แก่ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2518 และพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา พ.ศ.2521 ทั้งนี้เนื่องจาก กรุงเทพมหานครเป็นเมืองขนาดใหญ่ มีประชากรมากที่สุด ส่วนเมืองพัทยาเป็นเมืองท่องเที่ยว ที่มีลักษณะพิเศษ และใช้รูปแบบการบริหาร โดยการจ้างผู้บริหาร ซึ่งปรากฎว่า ไม่ประสบผลสำเร็จมากนัก ปัจจุบันจึงมีแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลง ให้เป็นเทศบาลนคร
ในปี พ.ศ.2537 ก็ได้มีการปรับปรุงการบริหารส่วนท้องถิ่นในส่วนพื้นที่ ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ให้มีการบริหารส่ววนตำบลขึ้น เป็น องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ตามพระราชบัญญัติสภาตำบล และองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.2537 ปัจจุบันกระทรวงมหาดไทย ได้ประกาศจัดตั้งแล้วทั่วประเทศ 6,397 แห่ง ซึ่งนับว่า เป็นองค์กรปกครองท้องถิ่นรูปแบบใหม่ที่เล็ก และใกล้ชิดประชาชนในท้องถิ่นมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้มีการปรับปรุง พระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ.2540 โดยกำหนดให้มีพื้นที่รับผิดชอบครอบคลุมพื้นที่รับผิดชอบของ อบต. ด้วย แต่ให้มีอำนาจมีหน้าที่ดำเนินการในกิจการ ที่ อบต. ดำเนินการไม่ได้ หรือต้องประสานงานร่วมกัน ระหว่าง อบต. หลายแห่ง เป็นต้น
ดังนั้น ปัจจุบันประเทศไทยจึงมีรูปบบการปกครองท้องถิ่น ทั้งหมด 5 รูปแบบ คือ
  1. กรุงเทพมหานคร
  2. เมืองพัทยา
  3. เทศบาล (แยกเป็นเทศบาลนคร เทศบาลเมือง และเทศบาลตำบล)
  4. องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)
  5. องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)

2. องค์กรปกครองส่วนม้องถิ่น กลไกการพัฒนาท้องถิ่นของประชาชน

2.1 ปรัชญา แนวคิด ขององค์กรปกครองท้องถิ่น
โดยที่ "กฎหมายการปกครองท้องถิ่น แสดงให้เห็นจุดมุ่งหมายสำคัญ 2 ประการ คือ ต้องการให้การจัดทำบริการสาธารณะมีประสิทธิภาพ นั่นคือ จัดทำบริการสาธารณะให้ทั่วถึง และตรงกับความต้องการของราศฎร ในท้องถิ่น ตามความจำเป็นในแต่ละท้องถิ่น ซึ่งจุดมุ่งหมายนี้จะสำเร็จลงได้ ก็ด้วยวิธีการให้ราษฎรในท้องถิ่นนั้นเอง เข้าไปมีส่วนร่วม ในการจัดการด้วย และต้องการให้การปกครองท้องถิ่น เป็นสถาบันสอนการปกครองประเทศ ในระบอบประชาธิปไตย โดยผู้ที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการปกครองท้องถิ่น จะต้องมาจากการเลือกตั้ง ของราษฎรในท้องถิ่นนั้น"
ดังนั้น "กฎหมายการปกครองส่วนม้องถิ่น ซึ่งเป็นกฎหมายที่บัญญัติขึ้น เพื่อจัดตั้งองค์การปกครองท้องถิ่น จึงมีวัตถุประสงค์ กระจายอำนาจบริหารไปสู่ท้องถิ่น โดยกำหนดความสัมพันธ์ระหว่าง ท้องถิ่นกับส่วนกลาง ในขอบเขตการกำกับดูแล" นั่นคือ จะไม่กำหนดให้ราชการส่วนกลาง มีอำนาจบังคับบัญชา เหนือคณะผู้บริหารของท้องถิ่น เพื่อให้ผู้บริหารส่วนท้องถิ่น มีความเป็นอิสระในการบริหารจัดการ แต่จะให้มีอำนาจในการกำกับดูแล เพื่อป้องกันมิให้ราษฎร ได้รับความเดือดร้อน จากการกระทำของราชการส่วนท้องถิ่น และเพื่อเป็นหลักประกันแก่ราษฎร ในท้องถิ่น ว่าจะได้รับการบริการสาธารณะอย่างทั่วถึง และมีประสิทธิภาพ กล่าวคือ จะกำกับดูแลและตรวจสอบให้ราชการส่วนท้องถิ่น กระทำการโดยชอบด้วยกฎหมาย หากมีการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเกิดขึ้น ก็จะมีอำนาจในการเพิกถอน หรือยับยั้งการกระทำนั้นได้ ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามที่มีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจ แก่ราชการส่วนกลาง ให้กระทำได้ ไว้อย่างชัดแจ้งด้วย
แม้ในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 หมวด 9 การปกครองส่วนท้องถิ่นมาตรา 282 ยังบัญญัติไว้ว่า "ภายใต้ยังคับมาตรา 1 รัฐจะต้องให้ความเป็นอิสระ แก่ท้องถิ่นตามหลักแห่งการปกครองตนเอง ตามเจตนารมณ์ของประชาชน ในท้องถิ่น" และมาตรา 283 วรรค 2 "การกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องทำเท่าที่จำเป็น ตามที่กฎหมายบัญญัติ แต่ต้องเป็นไป เพื่อการคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่น หรือประโยชน์ของประเทศโดยส่วนรวม ทั้งนี้ จะกระทบถึงสาระสำคัญ แห่งหลักการปกครองตนเอง ตามเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่น หรือนอกเหนือจากที่กฎหมายบัญญัติไว้มิได้"
ดังนั้น แนวคิดพื้นฐาน ของระบบการปกครองท้องถิ่น จึงพอสรุปได้ว่า
  1. เป็นระบบของการกระจายอำนาจทางการปกครอง ไปสู่ท้องถิ่น
  2. เพื่อจัดทำการบริการสาธารณะ ได้อย่างทั่วถึง ตรงกับความต้องการของราษฎร และเหมาะสมกับสภาพของแต่ละท้องถิ่น
  3. โดยให้ประชาชนในท้องถิ่นนั้น ได้มีส่วนร่วมอย่างเต็มที่
  4. เพื่อเป็นกระบวนการให้การเรียนรู้ในระบบประชาธิปไตย แก่ประชาชนในระดับท้องถิ่น
  5. ราชการส่วนกลางต้องไม่มีอำนาจเหนือคณะผู้บริหารส่วนท้องถิ่น แต่มีบทบาทในการกำกับดูแล และให้ความช่วยเหลือ
  6. ท้องถิ่นต้องมีอิสระในการตัดสินใจ กำหนดทิศทาง นโยบาย และการบริหารจัดการ เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นของตนเองได้ ในระดับหนึ่ง
2.2 องค์กรปกครองท้องถิ่น รากฐานระบบประชาธิปไตย
 
องค์กรปกครองท้องถิ่น รากฐานระบบประชาธิปไตย

จากเจตนารมณ์ของกฎหมายการปกครองท้องถิ่นไทยดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่า องค์กรปกครองท้องถิ่นไทย หรือกล่าวในอีกนัยหนึ่ง ก็คือ "ราชการส่วนท้องถิ่น" จึงถูกจัดตั้งขึ้น บนพื้นฐานของแนวความคิดในการ พัฒนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ที่ต้องการให้ประชาชนได้มีส่วนร่วม และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น จึงถือได้ว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็น รากฐานของ ระบอบประชาธิปไตย และ การมีส่วนร่วมของประชาชน ในท้องถิ่น และเป็น กลไกการปกครอง ที่จะ "บำบัดทุกข์ บำรุงสุข" ให้แก่ประชาชนในท้องถิ่นของตน ได้อย่างแท้จริง ทั้งนี้เพราะ องค์กรปกครอบส่วนท้องถิ่น ต้องมาจากประชาชน ดำเนินกิจการ เพื่อประชาชน และ โดยการกำกับดูแลของ ประชาชน
องค์กรปกครองท้องถิ่น จึงเป็นกลไกของการมีส่วนร่วมในเชิงปกครอง หรือในเชิงโครงสร้างของชุมชนท้องถิ่น
2.3 โครงสร้างการบริหารจัดการขององค์กรปกครองท้องถิ่น
เมื่อกล่าวในเชิงโครงสร้างขององค์กรปกครองท้องถิ่น ก็พบว่า ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญมาตรา 285 กำหนดให้ "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องมีสภาท้องถิ่น หรือ ผู้บริหารท้องถิ่น สมาชิกสภาท้องถิ่นต้องมาจากการเลือกตั้ง คณะผู้บริหารท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่นให้มาจาการเลือกตั้ง โดยตรงของประชาชน หรือมาจากความเห็นชอบของสภาท้องถิ่น"
ดังนั้น องค์กรปกครองท้องถิ่นโดยทั่วไป จึงจะแบ่งโครงสร้างการบริหารจัดการออกเป็น 2 ส่วน คือ
  1. สภาท้องถิ่น มีบทบาทอำนาจหน้าที่ในการ ตราข้อกำหนดของท้องถิ่น ซึ่งจะเป็นกฎหมายที่มีผลบังคับใช้ ในระดับท้องถิ่นนั้น ทั้งในเรื่องที่เกี่ยวกับการงบประมาณประจำปี ที่ฝ่ายบริหารเสนอ และเรื่องอื่นๆ ที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติสภาตำบล และองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 และพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 หรือพระราชบัญญัติอื่นๆ ที่กำหนดให้เป็นอำนาจของ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งนี้เพื่อเป็น กฎ/ระเบียบ/ข้อบังคับ ที่ให้ชุมชนในท้องถิ่นนั้น ได้ยึดถือปฏิบัติ หรือเป็นกติกาของสังคม เพื่อให้ประชาชนในม้องถิ่น ได้อยู่ร่วมกันอย่างเป็นปกติสุข
  2. คณะกรรมการบริหารองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารจัดการ กิจการต่างๆ ที่เป็นอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และดำเนินการให้เกิดการบังคับใช้ตามกฎหมายท้องถิ่น ที่สภาท้องถิ่นได้ตราขึ้น เพื่อให้เกิดการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข และคุ้มครองประชาชนในท้องถิ่นนั้นๆ
นอกจากนั้น สภาท้องถิ่นยังมีบทบาทในการตรวจสอบการบริหารจัดการ ของคณะกรรมการบริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยการพิจารณาอนุมัติงบประมาณแผนงาน โครงการ และการตั้งกระทู้ถาม กรณีที่สงสัย หรือให้ความเห็นข้อแนะนำ แก่คณะกรรมการบริหารฯ ได้
2.4 การมีส่วนร่วมของประชาชนในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ประชาชนในฐานะผู้เป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริง เป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่ง ต่อการผลักดันให้กลไก (องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือราชการส่วนท้องถิ่น) ดำเนินภารกิจการพัฒนาท้องถิ่น ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล การมีส่วนร่วมของประชาชนในท้องถิ่น ต่อการบริหารจัดการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
ซึ่งประชาชนในท้องถิ่น สามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้ ดังนี้คือ
  1. การใช้สิทธิในการเลือกสรร หรือเลือกตั้งผู้แทนของตนเอง เข้าไปเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือเป็นกรรมการ ในคณะกรรมการบริหารขององค์การบริหารส่วนท้องถิ่นดังกล่าว เพื่อเป็นตัวแทนในการพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ และกำหนดทิศทางการพัฒนา ให้สอดคล้องกับความต้องการ ของตนเอง และชุมชน ทั้งนี้ หากผู้แทนข้างต้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว ประชาชนในท้องถิ่นก็มีสิทธิที่จะไม่เลือกตั้ง ให้เป็นผู้แทนในสมัยต่อๆ ไปได้
  2. การเสนอความต้องการ ต่อผู้แทนของตน เพื่อนำเข้าสู่การพิจารณากำหนดเป็นนโยบาย แผนงาน / โครงการ ในเรื่องต่างๆ เพื่อให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของคนในชุมชน
  3. การตรวจสอบ การดำเนินงานของสภาฯ และคณะกรรมการบริหารองค์กรปกครองท้องถิ่น ประชาชนสามารถตรวจสอบได้ โดยการเฝ้ามอง และติดตามการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของตน แล้วเสนอความคิดเห็นต่อสาธารณะ โดยเสนอในนามของกลุ่ม / ชมรม หรือองค์กรชุมชนในท้องถิ่น โดยอาจผ่านสื่อของชุมชน เช่น หอกระจายข่าว สื่อมวลชนท้องถิ่น หรือโดยวิธีการตั้งข้อสังเกต โดยผ่านปากต่อปากของชุมชนเอง หรือผ่านผู้แทนของตนที่ได้เลือกไป รวมทั้งการร้องเรียนผ่านผู้บริหารของหน่วยงาน ที่กำกับดูแลองค์กรปกครองท้องถิ่นนั้นก็ได้
  4. การร้องเรียน หรือร้องทุกข์ ต่อองค์กรปกครองท้องถิ่น ในกรณที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อน จากการประกอบกิจการใดๆ ในท้องถิ่นนั้น ซึ่งเป็นสิทธิที่ประชาชนสามารถร้องเรียนได้ และขณะเดียวกันเป็นหน้าที่ขององค์กร ปกครองท้องถิ่น ในฐานะเจ้าพนักงานฯ ที่ต้องดำเนินการแก้ไขเรื่องดังกล่าว ตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด
  5. การให้ความร่วมมือ ในการปฏิบัติตามข้อกำหนดของท้องถิ่น ซึ่งถือว่า เป็น "กติกา" หรือ "หลักปฏิบัติ" ที่สภาท้องถิ่นได้ตราขึ้น เพื่อให้ใช้บังคับในเขตท้องถิ่นนั้นๆ ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการรักษาความสะอาด และความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง แล้วแต่กรณี รวมทั้งต้องให้ความร่วมมือในการดำเนินกิจกรรม เรื่องต่างๆ ขององค์กรปกครองท้องถิ่นด้วย
จากบทบาท และสิทธิหน้าที่ของประชาชน ที่เกี่ยวข้องกับองค์กรปกครองท้องถิ่นดังกล่าว จึงกล่าวได้ว่า ประชาชน เป็นองค์ประกอบ หรือปัจจัยที่สำคัญ ที่จะให้องค์กรปกครองท้องถิ่น เป็นองค์กรที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กับประชาชนได้ เป็นที่พึ่ง และเป็นหัวหอก ของการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ในท้องถิ่น สมดังเจตนารมณ์ของการปกครองท้องถิ่น ในระบอบประชาธิปไตย และการกระจายอำนาจสู่ประชาชนอย่างแท้จริง
การปกครองท้องถิ่นที่เป็น "ประชาธิปไตย" และที่ประชาชนมีส่วนร่วม จะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดี ของประชาชนในท้องถิ่นนั้น
อย่างไรก็ตาม องค์กรปกครองท้องถิ่น จะเข้มแข็งได้อย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กับประชาชนได้อย่างยั่งยืน ประชาชนในท้องถิ่นจำเป็นต้องมีการดำเนินงาน ในลักษณะ "ประชาสังคม" กล่าวคือ มีการรวมตัวของชุมชน เป็นองค์กร หรือชมรม หรือ กลุ่มต่างๆ อย่างหลากหลาย ตามความต้องการของชุมชน เพื่อให้ทุกส่วนของชุมชนได้มีส่วนร่วม ทั้งในการกำหนดวิสัยทัศน์ การกำหนดปัญหา การวิเคราะห์ปัญหา การวางแผน การดำเนินการ และติดตามกำกับการ โดยองค์กรปกครองท้องถิ่นจะเป็นองค์ภาคีหนึ่งที่สำคัญ และมีบทบาทร่วมกับองค์กรต่างๆ ของชุมชนนั้น ในการดำเนินการพัฒนา
 
ความสัมพันธ์ระหว่างอบต. กับ ประชาชน

3. การพัฒนาการสาธารณสุข และสิ่งแวดล้อม กับองค์กรปกครองท้องถิ่นไทย

3.1 การสาธารณสุข และสิ่งแวดล้อม คืออะไร?
การสาธารณสุข (Public Health) เมื่อกล่าวโดยรวมอาจให้ความหมายได้ว่า คือ ฎการจัดการเพื่อให้เกิดความสุข แก่สาธารณชน" หรือ "การทำให้สาธารณชนมีสุขภาพดี" ซึ่งคำว่า สุขภาพ (Health) องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ให้ความหมายว่า หมายถึง "สภาวะอันสมบูรณ์ของมนุษย์ ทั้งทางร่างกาย (Physical) จิตใจ (Mental) และความเป็นอยู่ที่ดีทางสังคม (Social well-being) ซึ่งมิเพียงพอแต่ทำให้มนุษย์ ปราศจากการเจ็บป่วย หรือความพิการเท่านั้น หากแต่หมายถึง การควบคุม หรือจัดการปัจจัยต่างๆ ในตัวมนุษย์ และที่อยู่แวดล้อมมนุษย์ ซึ่งอาจก่อให้เกิดการเจ็บป่วย หรือความพิการต่อมนุษย์ด้วย"
ดังนั้น กรอบแนวทางการดำเนินการ เพื่อให้เกิดการสาธารณสุขที่ดีของนานาประเทศ จึงกำหนดงานที่ต้องปฏิบัติออก เป็น 4 ส่วน คือ
  1. การส่งเสริมสุขภาพ
  2. การป้องกันโรค
  3. การรักษาพยาบาล
  4. การฟื้นฟูสภาพ
จากความหมายของ "การสาธารณสุข" และ "สุขภาพ" ซึ่งหมายรวมถึง ความเป็นอยู่ที่ดีทางสังคม ซึ่งครอบคลุมถึง ปัจจัยต่างๆ ที่อยู่แวดล้อม อันอาจมีผลทำให้เกิดการเจ็บป่วย หรือความพิการทั้งทางร่างกาย และจิตใจของมนุษย์ได้ ซึ่งจะต้องถูกควบคุม หรือจัดการให้อยู่ในสภาวะที่เป็นคุณ ต่อสุขภาพอนามอนามัย หรือการพัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษย์ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ก็คือ ต้องควบคุม หรือจัดการมิให้อยู่ในสภาวะที่เป็นโทษต่อสุขภาพอนามัยของมนุษย์นั่นเอง
ดังนั้น ความเป็นอยู่ที่ดีทางสังคม (Social well-being) จึงอาจกล่าวได้ ทั้งในความหมายที่แคบ และความหมายที่กว้าง กล่าวคือ
  • ในความหมายที่แคบ อาจหมายถึง การสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม (Environmental Sanitation) การอนามัยสิ่งแวดล้อม (Environmental Health) ซึ่งหมายถึง "การจัดการ หรือควบคุมปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ที่เป็น หรืออาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัย การเจริญเติบโต และการอยู่รอดของมนุษย์" อันได้แก่ น้ำดื่มน้ำใช้ ที่อยู่อาศัย สัตว์พาหะนำโรค สิ่งปฏิกูลมูลฝอย มลพิษทางอากาศ มลพิษทางน้ำ หรือมลพิษอื่นๆ และหมายรวมถึง การส่งเสริมสุขภาพ (Health Promotion) ซึ่งหมายถึง การจัดการ หรือควบคุมให้บุคคลมีพฤติกรรม หรือสุขลักษณะส่วนบุคคลที่ดี เอื้อต่อการมีสุขภาพอนามัยที่ดีของทารก เด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน หรือผู้สูงอายุ ซึ่งรวมทั้งการเสริมสร้างให้ภูมิคุ้มกันโรค ให้แก่ชุมชนด้วย
  • ในความหมายที่กว้าง ซึ่งไม่เพียงแต่หมายความถึง สิ่งต่างๆ ในความหมายที่แคบเท่านั้น แต่อาจหมายรวมถึง ฐานะทางเศรษฐกิจ ระดับการศึกษา สภาพปัญหาทางสังคม ตลอดจนวัฒนธรรม และความเชื่อของชุมชนในสังคมนั้นด้วย ซึ่งล้วนเป็นเหตุ หรือปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบ ทั้งในทางที่เป็นคุณ และเป็นโทษต่อสุขภาพอนามัย ของชุมชนนั้นเสมอ
ด้วยเหตุนี้ การสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม หรือการอนามัยสิ่งแวดล้อม และการส่งเสริมสุขภาพ จึงเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาการสาธารณสุข และคุณภาพชีวิตของชุมชน ในกรอบงานด้านการส่งเสริมสุขภาพ และการป้องกันโรคนั่นเอง
3.2 องค์กรปกครองท้องถิ่น กับการสาธารณสุข และสิ่งแวดล้อม
ในการให้บริการด้านการสาธารณสุขแก่ประชาชน โดยทั่วไปเป็นบทบาทภาระหน้าที่ ของหน่วยงานของรัฐ โดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุข แต่อย่างไรก็ตาม ในบริบทของงานส่งเสริมสุขภาพ และงานสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม หรือการบริการสาธารณสุขขั้นมูลฐาน ปรากฎว่า หน่วยงานรัฐส่วนกลางได้กระจายอำนาจ การจัดการดังกล่าวไปสู่องค์กรปกครองท้องถิ่นแล้ว นับแต่ได้มีการจัดตั้งองค์กรปกครองท้องถิ่นขึ้น กล่างวคือ นับแต่พระราชกำหนดสุขาภิบาลกรุงเทพฯ ร.ศ.116 ในสมัยรัชการที่ 5 ได้กำหนดให้ สุขาภิบาลกรุงเทพฯ มีหน้าที่ดำเนินการรักษาความสะอาด และป้องกันโรค ทำลายขยะมูลฝอย จัดสถานที่ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ สำหรับราษฎรทั่วไป ห้ามการปลูกสร้าง หรือซ่อมแซมโรงเรือนที่จะเป็นเหตุ ให้เกิดโรค รวมทั้งการขนย้ายสิ่งโสโครก ที่ทำความรำคาญให้กับราษฎรไปทิ้ง เป็นต้น หรือแม้แต่ปัจจุบันในการกำหนดหน้าที่ ขององค์กรปกครองท้องถิ่นต่างๆ ก็ยังคงกำหนดให้มีหน้าที่ รักษาความสะอาดของถนน หรือทางเดิน และที่สาธารณะ รวมทั้งการกำจัดขยะมูลฝอย และสิ่งปฏิกูล ป้องกัน และระงับโรคติดต่อ จัดให้มีน้ำสะอาด หรือการประปา โรงฆ่าสัตว์ ตลาด ท่าเทียบเรือ ท่าข้าม บำรุงทางระบายน้ำ ส้วมสาธารณะ รวมทั้งการส่งเสริมพัฒนาอาชีพ การพัฒนาสตรี เด็ก และผู้สูงอายุ การศึกษาของชุมชน การบริการสาธารณสุข การบำรุงสถานกีฬา สถานพักผ่อนหย่อนใจ และอื่นๆ
อำนาจหน้าที่ขององค์การปกครองท้องถิ่นดังกล่าวข้างต้น ล้วนเป็นภารกิจที่เกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพขั้นพื้นฐาน หรือ การสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมพื้นฐาน เพื่อการป้องกันป้องกันโรคติดต่อ และส่งเสริมการอนามัยสิ่งแวดล้อมของชุมชน ท้องถิ่นนั้นๆ ซึ่งสอดคล้องกับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรไทย ฉบับปัจจุบัน มาตรา 52 วรรค 2 บัญญัติว่า "การบริการทางสาธารณสุขของรัฐ ต้องเป็นไปอย่างทั่วถึง และมีประสิทธิภาพ โดยจะต้องส่งเสริมให้องค์กรปกครองท้องถิ่น และเอกชนมีส่วนร่วมด้วย เท่าที่จะกระทำได้" มาตรา 290 บัญญัติว่า "เพื่อส่งเสริม และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ย่อมมีอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด กฎหมายตามวรรคหนึ่งอย่างน้อย ต้องมีสารถสำคัญ ดังนี้
  1. การจัดการ การบำรุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมที่อยู่ในเขตพื้นที่
  2. การเข้าไปมีส่วนร่วมในการบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมที่อยู่นอกเขตพื้นที่ เฉพาะกรณีที่อาจมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิต ของประชาชนในพื้นที่ของตน
  3. การมีส่วนร่วมในการพิจารณา เพื่อริเริ่มโครงการ หรือกิจกรรมใด นอกเขตพื้นที่ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม หรือสุขภาพอนามัยของประชาชนในพื้นที่"

องค์กรปกครองท้องถิ่น

ดังนั้น องค์กรปกครองท้องถิ่น จึงเป็นองค์กร หรือกลไกของประชาชนที่สำคัญ ที่มีบทบาทในการ พัฒนาการสาธารณสุข และสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตขั้นพื้นฐาน ของประชาชนในท้องถิ่นนั้นๆ นั่นเอง

15.สนธิสัญญาเเละข้อตกลงระหว่างประเทศ


  • สนธิสัญญาเเละข้อตกลงระหว่างประเทศ

    • ความสัมพันธ์ระดับทวิภาคี: สนธิสัญญาเเละข้อตกลงระหว่างประเทศ


    • เเถลงการณ์ร่วมระหว่างประเทศไทย - ประเทศอิสราเอล

      การหารืออย่างเป็นทางการระหว่างกระทรวงการต่างประเทศของไทยเเละอิสราเอล
      กรุงเยรููซาเลม ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๕
       การหารืออย่างเป็นทางการครั้งเเรกระหว่างกระทรวงการต่างประเทศของไทยเเละอิสรา-
      เอลถูกจัดขึ้น ณ กรุงเยรูซาเลม เืมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๕
      การประชุมจัดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศเเห่งมิตรภาพเเละัความร่วมมือซึ่งสะท้อนให้เห็น
      ถึงความสัมพันธ์อันเเน่นเเฟ้นเเละอบอุ่นระหว่างสองประเทศ ในระหว่างการประชุมได้มี
      การเเจ้งให้ทราบถึงข้อมูลปัจจุบันใีนระดับทวิภาคี ภูมิภาค เเละพหุภาคี รวมทั้งการส่ง-
      เสริมความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในเรื่องต่าง ๆ เช่น เเรงงาน การค้า การเกษตร
      ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเเละการปฏิบัติการ การเเลกเปลี่ยนวัฒนธรรม เเละความสัม-
      พันธ์ของประชาชนของทั้่งสองประเทศ
      คณะผู้เข้าร่วมการหารือจากประเทศไทยนำโดย นายสนั่นชาติ เทพหัสดิน ณ อยุธยา
      อธิบดีกรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลางเเละเเอฟริกา กระทรวงการต่างประเทศ เเละฝ่าย
      อิสราเอลนำโดยรองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ นายซวี กาไบ ผู้เข้าร่วมการหารือ
      อื่น ๆ ได้เเก่ ข้าราชการจากกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตร เเละกระทรวงเเรงงาน
      ของทั้งสองประเทศ
      การหารืออย่างเป็นทางการครั้งที่สองจะมีในราชอาณาจักรไทยในปี พ.ศ. ๒๕๔๕

      สนธิสัญญาระหว่างอิสราเอล - ไทย


      ·        หนังสือแลกเปลี่ยนประกอบความตกลงเกี่ยวกับการยกเว้นการตรวจลงตราผู้ถือหนัง-สือเดินทางทูตและราชการอิสราเอล-ไทย
               กรุงเทพ ฯ - ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๓
      ·        ความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างรัฐบาลแห่งรัฐอิสราเอลและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย
               กรุงเทพ ฯ - ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๑
      ·        การแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการปรับปรุงความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างรัฐบาลแห่งรัฐอิสราเอลและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย
               กรุงเทพ ฯ - ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๒ ถึง ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๒
      ·        สนธิสัญญาเพื่อเว้นการเก็บภาษีซ้อนและป้องกันการหลีกเลี่ยงรัษฎากรในส่วนเกี่ยว กับภาษีเก็บจากเงินได้ระหว่างอิสราเอลและประเทศไทย
                กรุงเทพ ฯ - ๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๙
      ·        การแลกเปลี่ยนสัตยาบันสารของสนธิสัญญาเพื่อเว้นการเก็บภาษีซ้อนและป้องกันการหลีกเลี่ยงรัษฎากรในส่วนเกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ระหว่างอิสราเอลและประเทศไทย
       ·        ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งรัฐอิสราเอลและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน  (ยังไม่ได้ลงนาม)
                กรุงเทพ ฯ - ๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓
      ·        สนธิสัญญาว่าด้วยความร่วมมือด้านการการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาในคดีอาญาระหว่างรัฐบาลแห่งรัฐอิสราเอลและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย
                กรุงเทพ ฯ - ๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๐
      ·        บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งอิสราเอลและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยเกี่ยวกับการจัดทำแปลงสาธิตการเกษตรไทย-อิสราเอลสำหรับการปลูกพืชมูลค่าสูงแบบอาศัยชลประทานบนพื้นที่ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น  (ยังไม่ได้ลงนาม)
                 กรุงเทพ ฯ - ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๕




14.ข้อความเบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ

ข้อความเบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ 


ข้อความเบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law)
ส่วนหนึ่งของคู่มือการจดบันทึกการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการทรมาน จัดทำโดยมูลนิธิผสานวัฒนธรรม
ตอนที่ 1: ที่มาและแนวคิดเบื้องต้น
กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศเป็นกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐด้วยกัน และหลายๆ รัฐ กฎหมายระหว่างประเทศประกอบไปด้วยกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรและกฎหมายจารีตประเพณี ที่ประกอบไปด้วยข้อตกลงตามกฎหมายว่ารัฐทั้งสองหรือระหว่างหลายๆ รัฐจะปฏิบัติต่อกันตามหลักการที่ตกลงกัน
กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ หรือเรียกว่ากฎหมายสงคราม หรือกฎของสงคราม วัตถุประสงค์ของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศก็เพื่อจำกัดขอบเขตของสงคราม ป้องกันไม่ให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้อง และ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสงครามได้รับผลกระทบ และเพื่อจำกัดประเภทอาวุธและยุทธวิธีทางการสงคราม
แนวคิดเรื่องกำเนิดของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศเริ่มจากที่การสงครามสมัยใหม่ไม่ต้องการให้มีการสูญเสียชีวิตหรือกำลังพล แม้ว่าการใช้กำลังจะไม่ได้ห้ามไว้อย่างเด็ดขาดในกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันความสูญเสียจากการสงครามต่อชีวิตและทรัพย์สิน รวมทั้งป้องกันประชาชนผู้บริสุทธิ์
หลักการกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศดังกล่าวก่อให้เกิดปฏิญญาเจนีวา ปี 1949 มีทั้งสิ้น 4 ฉบับ ฉบับที่ 1 เน้นเรื่องการปกป้องผู้บาดเจ็บและเจ็บป่วยในการสู้รบสงคราม ฉบับที่ 2 เน้นการปกป้องผู้บาดเจ็บและเจ็บป่วยในการสู้รบสงครามในทะเล ฉบับที่ 3 เน้นการปฏิบัติต่อเชลยศึก ฉบับที่ 4 เน้นการป้องกันพลเรือนในระหว่างสงคราม
การคุ้มครองเด็กในกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศมีความสำคัญโดยระบุว่าเด็กต้องได้รับการปกป้องเป็นกรณีพิเศษ ตามมาตรา 4 (Geneva Convention ฉบับที่สาม) เด็กต้องได้รับการเคารพและต้องไม่ได้รับการปฏิบัติใดใดที่จะเป็นการทำร้ายร่างกาย คู่สงครามจะต้องดูแลและให้ความช่วยเหลือเด็กตามความต้องการของเขา อีกทั้งในมาตรา 77 (art. 77- พิธีสารเลือกรับฉบับที่ 1) ห้ามไม่ให้มีการใช้ทหารเด็กและให้มีส่วนร่วมในการโจมตี ทหารเด็กต้องได้รับการปฏิบัติอย่างดี
การปกป้องผู้หญิงในภาวะสงครามเป็นหลักการที่สำคัญอีกประการหนึ่งโดยมีการกำหนดให้ปกป้องผู้หญิง ทั้งที่ท้อง และที่เป็นแม่ของเด็กเล็ก ระบุไว้ใน Geneva Convention ฉบับที่สอง และในพิธีสารเลือกรับฉบับที่ 1 ห้ามทำร้ายศักดิ์ศรีแห่งสตรี ข่มขืน บังคับให้เป็นหญิงบริการ และห้ามไม่ให้มีการทำร้ายใดใด และใน Geneva Convention ฉบับที่สาม และฉบับที่สี่ รวมทั้งในพิธีสารเลือกรับฉบับที่ 1 การควบคุมตัวสตรีและห้ามไม่ให้ประหารชีวิตสตรี
กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศเป็นกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐด้วยกัน และหลายๆ รัฐ กฎหมายระหว่างประเทศประกอบไปด้วยกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรและกฎหมายจารีตประเพณี ที่ประกอบไปด้วยข้อตกลงตามกฎหมายว่ารัฐทั้งสองหรือระหว่างหลายๆ รัฐจะปฏิบัติต่อกันตามหลักการที่ตกลงกัน
กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศใช้ในสถานการณ์ความขัดแย้งทางอาวุธ (armed conflict) แต่ไม่ใช่กฎหมายที่กำหนดว่ารัฐจะใช้อาวุธต่อกันอย่างไร ซึ่งกำหนดไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติหรือในหลักการตามภาษาลาตินที่ว่า JUS AD BELLUM (กฎหมายที่จะทำสงคราม) แต่กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศเป็นกฎหมายในสงครามตามหลักการในภาษาลาตินที่ว่า JUS IN BELLUM (กฎหมายในสงคราม)
กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศได้บัญญัติหลักการไว้ใน Geneva Convention ทั้งสี่ฉบับที่กล่าวข้างต้น ปี 1949 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศเกือบทุกประเทศในโลกได้ให้การรับรอง และต่อมาได้เพิ่มเติมพิธีสารเลือกรับเกี่ยวกับการปกป้องเหยื่อจากความขัดแย้งทางอาวุธด้วยในปี 1977 และต่อมามีการกำหนดอนุสัญญาว่าด้วยเรื่องการห้ามใช้อาวุธชีวภาพในปี 1972 การห้ามใช้ทุนระเบิดฝังดิน ในปี 1997 การห้ามใช้อาวุธเคมีในปี 1993 และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กและเด็กกับการมีส่วนร่วมในการสงครามในปี 2000
กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศใช้ในสถานการณ์ความขัดแย้ง (armed conflict) เท่านั้น ทั้งนี้ไม่ใช่ในสถานการณ์ที่เป็นความรุนแรงครั้งคราว และเป็นการจราจล หรือความตึงเครียดทางการเมือง กฎหมายมนุฯจะใช้เมื่อมีภาวะสงครามหรือสถานการณ์ความขัดแย้ง (armed conflict) และมีผลให้คู่สงครามปฏิบัติต่อกันอย่างเท่าเทียมในการสู้รบ ไม่ละเมิดกฎหมายในสงคราม หรือกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศต่อกัน
กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศได้ระบุความแตกต่างของสภาวะสงครามเป็นสองระดับคือ international และ non- international armed conflict ในที่นี่ International armed conflict ความขัดแย้งทางอาวุธระหว่างประเทศ เกิดขึ้นเมื่อมีสงครามระหว่างรัฐสองรัฐหรือมากกว่า ซึ่งจะต้องมีการบังคับใช้อนุสัญญา Genevaทั้งสี่ฉบับ รวมทั้งพิธีสารเลือกรับฉบับที่ 1 ปี 1997 ที่เกี่ยวกับการปกป้องเหยื่อจากการสู้รบด้วย รวมทั้งข้อตกลงห้ามการใช้อาวุธต่างๆ ในย่อหน้าที่ 8 ของเอกสารชุดนี้ ด้วย และ non- international armed conflict ความขัดแย้งทางอาวุธที่ไม่ใช่ระหว่างประเทศ อาจเกิดขึ้นในพื้นที่หรือเขตแดนของประเทศใดประเทศหนึ่ง มีการใช้ทหารหรือกองกำลังถาวรของรัฐต่อสู้กับกองกำลังอีกฝ่ายหนึ่ง หรือมีการสนับสนุนจากกองกำลังจากรัฐอื่นด้วยก็ได้ การบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศในกรณีดังกล่าวเป็นที่
กรณีขัดแย้งกันด้วยอาวุธภายในประเทศ
ในกรณีที่เกิดความขัดแย้งถึงขั้นต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธที่ มิได้มีลักษณะของความขัดแย้งระหว่างประเทศ ศาลอาญาระหว่างประเทศ มีอำนาจศาลพิจารณาความผิดที่เป็นการละเมิดอย่างร้ายแรงตามมาตรา 3 ที่มีบัญญัติเหมือนกันในอนุสัญญาเจนีวาทั้ง 4 ฉบับ ที่ว่าด้วยการกระทำความผิดต่อบุคคล “ที่มิได้เข้าร่วมหรือมีส่วนอย่างจริงจังในความเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน” ดังต่อไปนี้ :
• การกระทำรุนแรงต่อชีวิตและการฆ่า การตัดเฉือนชิ้นส่วนหรืออวัยวะของร่างกาย การปฏิบัติอย่างโหดร้ายและการทำทารุณกรรม
• การกระทำที่เหยียดหยามศักดิ์ศรีของบุคคล โดยเฉพาะการกระทำที่ให้บุคคลอื่นอับอาย ถูกดูถูกเหยียดหยาม ถูกทำลายคุณค่าของความเป็นมนุษย์อย่างร้ายแรงมาก
• จับบุคคลอื่นเป็นตัวประกัน
• การลงโทษหรือประหารชีวิตโดยปราศจากการดำเนินการพิจารณาคดีโดยศาล ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามปกติเพื่อเป็นการให้หลักประกันด้านยุติธรรม ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าเป็นสิ่งที่ขาดมิได้
นอกจากนี้แล้ว ศาลอาญาระหว่างประเทศ ยังมีอำนาจพิจารณาคดีที่เป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมที่ร้ายแรงอื่นๆ ตามพิธีสารฉบับที่ 2 ของอนุสัญญาเจนีวา ซึ่งรวมทั้งกรณีต่างๆ ดังต่อไปนี้
1. การสั่งให้โจมตีโดยเจตนาต่อประชากรที่เป็นพลเรือนโดยรวม หรือต่อพลเรือนเป็นรายบุคคล ซึ่งไม่มีส่วนร่วมโดยตรงในการเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน
2. การสั่งให้โจมตีโดยเจตนาต่ออาคารบ้านเรือน วัสดุสิ่งของ หน่วยแพทย์หรือพยาบาล ยานพาหนะหรือบุคลากรที่ใช้ตราเครื่องหมายเฉพาะต่างๆ ตามที่ระบุไว้ในอนุสัญญาเจนีวา (เช่น ตราเครื่องหมายของกาชาด หรือวงเดือนแดง)
3. การสั่งให้โจมตีโดยเจตนาต่อบุคลากรหรือยานพาหนะที่ใช้ในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมหรือในภารกิจการรักษาสันติภาพขององค์การสหประชาชาติ
4. การสั่งให้โจมตีโดยเจตนาต่ออาคาร สิ่งก่อสร้างทางศาสนา การศึกษา ศิลปะ วิทยาศาสตร์ หรือเพื่อการกุศลอื่นใด สถานที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ โรงพยาบาล และสถานที่อื่นๆ ที่ใช้เป็นที่รวมของผู้ที่เจ็บป่วยหรือผู้ที่บาดเจ็บ โดยที่สถานดังกล่าวข้างต้นมิได้ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการทหารแต่อย่างใด
5. การปล้นสดมภ์ เมืองหรือสถานที่ต่างๆ แม้ว่าจะกระทำขณะเข้าโจมตีก็ตาม
6. การข่มขืนกระทำชำเรา การบังคับให้เป็นทาสทางเพศ การบังคับให้เป็นโสเภณี บังคับให้ตั้งครรภ์ บังคับให้ทำหมัน และการกระทำรุนแรงทางเพศด้วยรูปแบบวิธีการอื่นๆ
7. บังคับหรือเกณฑ์เด็กอายุต่ำกว่า 15 เป็นเข้าร่วมในกองกำลังติดอาวุธ หรือ กลุ่มติดอาวุธ หรือ ใช้ให้เด็กๆ เข้าร่วมอย่างแท้จริงในกรณีขัดแย้งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน
8. การสั่งให้โยกย้ายประชาชนที่เป็นพลเรือน ด้วยเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับกรณีขัดแย้งที่ขาดความชอบธรรม เว้นแต่กรณีที่ทำเพื่อความปลอดภัยของพลเรือนหรือเหตุผลทางด้านความจำเป็นทางทหารบังคับ
9. การฆ่าหรือทำให้พลรบฝ่ายปรปักษ์ได้รับบาดเจ็บอย่างโหดเหี้ยมทารุณ
10. การประกาศว่าจะไม่ไว้ชีวิตแก่ฝ่ายที่เป็นอริศัตรูหรือฝ่ายตรงข้าม แม้ว่าจะยอมจำนนหรือยอมแพ้แล้วก็ตาม
11. การทำให้บุคคลของฝ่ายตรงข้ามที่อยู่ภายใต้อำนาจของตนถูกตัดเฉือนอวัยวะหรือชิ้นส่วนใดๆ ของร่างกาย หรือใช้เป็นเครื่องทดลองทางการแพทย์หรือทางวิทยาศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นการค้นคว้าทดลองประเภทใดก็ตาม ที่ขาดความชอบธรรมทางการแพทย์ ทางทันตกรรมหรือทางการรักษาพยาบาล อันจะนำไปสู่อันตรายอย่างร้ายแรงต่อสุขภาพหรือการตายของบุคคลนั้น
12. การทำลายหรือยึดทรัพย์สินของฝ่ายตรงกันข้าม นอกเสียจากว่า การทำลายหรือการยึดครองทรัพย์สินดังกล่าวเป็นความจำเป็นที่หลีกเลี่ยงมิได้ในกรณีขัดแย้ง

13.การบัญญัติกฎหมายระหว่างประเทศที่ควรรู้

การบัญญัติกฎหมายระหว่างประเทศที่ควรรู้


การบัญญัติกฎหมายระหว่างประเทศ : กฎหมายทะเล
กฎเกณฑ์ทางกฎหมายระหว่างประเทศ ที่กำหนดเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ทางทะเลของรัฐ กฎหมายทะเลซึ่งเป็นสาขาที่เก่าแก่ที่สุดของกฎหมายระหว่างประเทศนั้น ได้วิวัฒนาการมาจากจรรยาบรรณโบราณที่อิงอาศัยจารีตประเพณีในส่วนที่เกี่ยว ข้องกับสิทธิและหน้าที่ของพ่อค้าและเจ้าของเรือ บรรทัดฐานเดิมที่มีอยู่ก่อนกฎหมายทะเล ได้แก่ (1) กฎหมายโรเดียน (คริสตศตวรรษที่ 9) (2) ตาบูลา อมัลฟิตานา (คริสตศตวรรณที่ 11) (3) กฎหมายแห่งโอลีรอน (คริสตศตวรรษที่ 12) (4) กฎหมายวิสบี (คริสตศตวรรษที่ 13 และ 14) และ (5) คอนโตดาโตเดล แมเร (คริสตศตวรรษที่ 14) ที่มาของกฎหมายทะเลได้แก่ (1) จารีตประเพณีระหว่างประเทศ (2) การบัญญัติกฎหมายภายในชาติ (3) สนธิสัญญา และ (4) ผลงานของการประชุมระหว่างประเทศด้วยเรื่องเรื่องเหล่านี้

ความสำคัญ กฎหมายทะเลอิงหลักพื้นฐาน 2 หลัก คือ (1) หลักเสรีภาพของทุกรัฐที่จะใช้ทะเลหลวงโดยปราศจากการแทรกแซง และ (2) หลักความรับผิดชอบของแต่ละรัฐที่จะรักษาความสงบเรียบร้อยทางทะเล แต่ละรัฐมีอำนาจศาลเหนือเรือของตนที่อยู่ภายในน่านน้ำอาณาเขตของตน เรือที่อยู่ในน่านน้ำอาณาเขตของรัฐต่างชาติยังคงอยู่ภายใต้เขตอำนาจศาลของรัฐที่เรือนั้นติดธง เว้นเสียแต่ว่าเรือนั้นจะคุกคามความสงบและความเรียบร้อยของรัฏฐาธิปัตย์ชายฝั่ง การประชุมที่เจนีวาปี ค.ศ. 1958 (ยูเอ็นซีแอลโอเอส – วัน) และการประชุมที่เจนีวาปี ค.ศ. 1960 (ยูเอ็นซีแอลโอเอส – ทู) เป็นการเพิ่มเติมกฎหมายทะเลด้วยอนุสัญญาต่าง ๆ คือ (1) อนุสัญญาว่าด้วยการให้นิยามของเส้นฐานที่ใช้วัดทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง (2) อนุสัญญาว่าด้วยการสัญจรผ่านโดยบริสุทธิ์ (3) อนุสัญญาว่าด้วยการสำรวจอาหารและแร่ธาตุจากดินใต้ผิวดินของเขตไหล่ทวีปและ จากท้องทะเล และ (4) อนุสัญญาว่าด้วยการอนุรักษ์ชีวิตสัตว์และพืชในทะเล ส่วนการประชุมกฎหมายระหว่างประเทศระลอกใหม่เกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1973 ถึง 1982 (ยูเอ็นซีแอลโอเอส – ทรี) ได้มีข้อตกลงต่าง ๆ คือ (1) ข้อตกลงว่าด้วยเขตอำนาจศาลของชาติเหนือทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ (2) ข้อตกลงว่าด้วยสิทธิของรัฐชายฝั่งเหนือเขตเศรษกิจจำเพาะสองร้อยไมล์ (อีอีเอฟ) และ (3) ข้อตกลงว่าด้วยการสัญจรผ่าน สัญจรเหนือ หรือสัญจรใต้ช่องแคบที่ใช้สำหรับการสัญจรระหว่างประเทศ ส่วนเรื่องที่ยังตกลงกันไม่ได้ก็คือ เรื่องที่เกี่ยวกับลักษณะของการควบคุมเหนือการทำเหมืองแร่ในทะเลลึกและการ เข้าไปใช้ทรัพยากรทางทะเลในรูปแบบอื่น ๆ นอกเขตเศรษฐกิจจำเพาะสองร้อยไมล์ ประเด็นที่ยังตกลงกับยังไม่ได้นี้ได้ผูกโยงไว้กับขอบเขตของอำนาจที่จะมอบให้ แก่องค์การท้องทะเลระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติที่ได้รับการเสนอให้จัดตั้ง ขึ้นมา ซึ่งองค์การฯ นี้จะทำหน้าที่ควบคุมการสำรวจและการเข้าไปใช้ทรัพยากรในทะเลลึก เมื่อสามารถบรรลุข้อตกลงในเรื่องสำคัญต่อไปนี้ได้แล้ว คือ (1) การลงคะแนนเสียง (2) การออกใบอนุญาต และ (3) การเก็บค่าภาคหลวง รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ไม่พอใจกับข้อกำหนดดังกล่าวจึงได้ปฏิเสธอนุสัญญาว่าด้วยกฎหมายทะเลแห่งสห ประชาชาติปี ค.ศ. 1982


การบัญญัติกฎมายระหว่างประเทศ : การพิจารณาคดีอาชญากรรมสงคราม
การพิจารณาคดีของบุคคลจากรัฐที่แพ้สงครามเพื่อกำหนดโทษและบทลงโทษของบุคคลไม่ ใช่ของชาติในฐานะที่ประกอบอาชญากรรมในระหว่างสงครามหรือในฐานะที่เป็นผู้ก่อ สงคราม สนธิสัญญาแวร์ซายส์หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งได้วางไว้เป็นบรรทัดฐานกำหนด ให้มีการพิจารณาคดีและทำการลงโทษจักรพรรดิเยอรมันและบุคคลในกองทัพเยอรมัน แต่ฝ่ายพันธมิตรมิได้ดำเนินการพิจารณาคดีแต่อย่างใด หลังสงครามโลกครั้งที่สองอาชญากรสงครามเยอรมันคนสำคัญจำนวน 22 คน ถูกศาลทหารระหว่างประเทศ พิจารณาคดีที่เมืองนูเรมเบิร์ก ซึ่งศาลทหารฯ คณะนี้ประกอบด้วยคณะลูกขุนจากอังกฤษ ฝรั่งเศส สหภาพโซเวียต และสหรัฐอเมริกา จำเลยถูกกล่าวหาว่ามีความผิดฐาน (1) ประกอบอาชญากรรมต่อต้านสันติภาพ (2) ประกอบอาชญากรรมสงคราม และ (3) ประกอบอาชญากรรมต่อต้านมนุษยชาติ จำเลย 12 คนถูกตัดสินให้ประหารชีวิต 7 คนได้รับโทษจำคุก ส่วนอีก 3 คนพ้นผิด ภายใต้กฏบัตรศาลทหารระหว่างประเทศสำหรับตะวันออกไกลนั้นมีอาชญากรสงคราม ญี่ปุ่นคนสำคัญ ๆ ถูกพิจารณาคดีในกรุงโตเกียวด้วยข้อหาทำนองเดียวกับที่นูเรมเบิร์ก โดยคณะลูกขุนที่เป็นตัวแทนของ 11 ประเทศที่ทำสงครามกับญี่ปุ่น

ความสำคัญ 
การพิจารณาคดีอาชญากรสงครามที่นูเรมเบิร์กและที่โตเกียว เป็นการเปิดหน้าใหม่ในการพัฒนากฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสงคราม ก่อนหน้าสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสงครามโลกครั้งที่สองนั้นมีกฎหมายจารีต ประเพณีกำหนดไว้ว่า เมื่อสงครามยุติลงแล้วก็ให้ทำการนิรโทษกรรมแก่บุคคลที่เป็นศัตรูทั้งปวงซึ่ง ได้กระทำความผิดเกี่ยวกับการรับราชการทหารของพวกเขาเสีย แต่จากความเหี้ยมโหดของสงครามเบ็ดเสร็จก็ดี และจากความเกลียดชังกันอย่างเข้ากระดูกดำอันเกิดจากความขัดแย้งทางด้าน อุดมการณ์ก็ดี ทำให้มีคนตั้งคำถามขึ้นว่าการให้นิรโทษกรรมนี้จะมีการนำกลับมาใช้กันอีกหรือ ไม่ปฏิกิริยาทางกฎหมายต่อการพิจราณาคดีที่นูเรมเบิร์กและที่โตเกียวมีแตกต่างกันไป การวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการตัดสินคดีด้วยข้อหาว่าประกอบอาชาญกรรมสงคราม และข้อหาว่าประกอบอาชญากรรมต่อต้านมนุษยชาตินั้นมีน้อย เนื่องจากมีกฎหมายจารีตประเพณีได้ให้การรับรองสิทธิของผู้ชนะให้สามารถ พิจารณาลงโทษบุคคลในกองทัพของศัตรูในโทษฐานละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศได้ แต่แนวความคิดที่ว่าจำเลยมีโทษฐานประกอบอาชญากรรมต่อต้านสันติภาพนั้นเป็น การเปิดข้อกล่าวหาใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนหน้านี้ ได้มีการยกประเด็นปัญหาทางกฎหมายขึ้นมาถามในส่วนที่เกี่ยวกับข้อกล่าวหาว่า ประกอบอาชญากรรมต่อต้านสันติภาพดังนี้ (1) เราจะสามารถแสดงข้อแตกต่างระหว่างสงครามรุกรานที่ถือว่าเป็นอาชญากรรม กับอาชญากรรมที่กระทำในช่วงที่เกิดสงครามได้อย่างกระจ่างชัดหรือไม่ (2) กติกาสัญญาเคลลอกก์–บริอังด์ ที่ทำให้สงครามรุกรานเป็นสิ่งผิดกฎหมายนั้นมีความหมายบ่งบอกให้บุคคลต้องรับ ผิดชอบในอาชญากรรมด้วยใช่หรือไม่ (3) ข้อแตกต่างระหว่างสงครามรุกรานกับสงครามป้องกันตัวมีความกระจ่างชัดพอที่จะ นำมาใช้ประเมินความรับผิดชอบทางด้านอาชญากรรมของบุคคลได้หรือไม่ และ (4) ศาลที่เมืองนูเรมเบิร์กซึ่งประกอบด้วยคณะลูกขุนจากแค่ 4 รัฐเท่านั้น จะถือว่าเป็นศาลระหว่างประเทศที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประชาคมโลกได้หรือ ไม่ สหประชาชาติได้พยายามหาทางสร้างความถูกต้องทางกฎหมายให้แก่หลักการที่ว่า บุคคลจะต้องรับผิดชอบต่ออาชญากรรมที่ใช้เป็นรากฐานสำหรับพิจารณาคดี อาชญากรรมสงคราม โดยการพัฒนาหลักกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยอาชญากรรมต่อต้านสันติภาพและต่อ ต้านความมั่นคงของมนุษยชาติขึ้นมา สมัชชาใหญ่ได้มอบหมายให้คณะกรรมาธิการกฎหมายระหว่างประเทศ (ไอแอลซี) ทำการตระเตรียมร่างหลักการนี้ แต่ปัญหาการพัฒนาคำนิยามของคำว่า “การรุกราน” ให้เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปก็ได้มาเป็นตัวสกัดกั้นมิให้กระบวนการในเรื่องนี้ คือหน้าต่อไปได้
เขตอำนาจ
สิทธิของรัฐหรือของศาลที่จะพูดหรือกระทำด้วยอำนาจหน้าที่ ตามกฎหมาย เขตอำนาจตามกฎหมายจะเกี่ยวข้องกับการอ้างสิทธิเข้าควบคุมบุคคล ทรัพย์สิน คนในบังคับ และสถานการณ์ ในอาณาเขตทางกฎหมาย ทางการเมือง และทางภูมิศาสตร์ ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศนั้นเขตอำนาจตามกฎหมายเหนือดินแดนสามารถได้มาโดย วิธี (1) แผ่นดินงอก (2) การยกให้ (3) การพิชิต (4) การค้นพบ และ (5) การครอบครองมาเป็นเวลานาน

ความสำคัญ ในโลกซึ่งประกอบด้วยรัฐที่มีเอกราชและอำนาจอธิปไตยจำนวนมากกว่า 180 ชาตินี้ ก็ย่อมจะมีปัญหาของเขตอำนาจตามกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องในรูปแบบของการขัดแย้ง ระหว่างประเทศ การเจรจากัน และการอนุญาตโตตุลาการ การขัดแย้งเกี่ยวกับเขตอำนาจทางกฎหมายระหว่างรัฐมักจะเกี่ยวกับข้องกับ เรื่องต่อไปนี้ (1) ความเป็นพลเมือง (2) เส้นพรมแดน (3) น่านฟ้า (4) ทะเลหลวง (5) สิทธิในการประมง (6) น่านน้ำอาณาเขต (7) การผ่านโดยบริสุทธิ์ และ (8) อวกาศ

เขตอำนาจ :ดินแดนงอก
ดินแดนที่ได้เพิ่มขึ้นมาโดยการทับถมของวัตถุใน แม่น้ำหรือในทะเล ซึ่งอาจตกเป็นของรัฐผืนแผ่นดินใหญ่หรือรัฐชายฝั่งก็ได้ หลักการได้ดินแดนงอก กล่าวคือ ดินแดนที่เพิ่มขึ้นโดยธรรมชาติจากดินแดนเดิมให้มาอยู่ภายใต้เขตอำนาจตาม กฎหมายเดียวกันนี้ เป็นหลักการที่มีมาตั้งแต่ยุคกฎหมายโรมันจากผลงานของฮูโก กรอติอุส สิ่งที่เพิ่มมาว่านี้อาจจะงอกขึ้นตามฝั่งแม่น้ำหรือฝั่งมหาสมุทรหรืออาจจะ เป็นเกาะแก่งหรือดินดอนปากแม่น้ำก็ได้

ความสำคัญ การได้ดินแดนเพิ่มโดยการงอกของแผ่นดินนี้ อาจสร้างปัญหาทางการเมืองและทางเศรษฐกิจที่ร้ายแรงที่เกี่ยวข้องกับเขตอำนาจของกฎหมายเหนือดินแดนได้ ปัญหาเหล่านี้อาจจะหมายถึงการเกิดเกาะในแม่น้ำที่ใช้เป็นเส้นพรมแดนระหว่าง ประเทศ หรือเกิดเกาะหรือดินดอนสามเหลี่ยมในเส้นแนวชายฝั่ง ซึ่งเป็นการขยายน่านน้ำอาณาเขตของรัฐออกไปในมหาสมุทรมากขึ้น

เขตอำนาจเหนือกิจการพาณิชยนาวี
อำนาจหน้าที่ของรัฐเหนือกิจการพาณิช ยนาวี เขตอำนาจเหนือกิจการพาณิชยนาวีเป็นเขตที่ต้องใช้เทคนิคทางนิติศาสตร์ในระดับ สูงซึ่งมีอยู่ในกฎหมายภายใน จะเกี่ยวกับเรื่องการพาณิชย์และการเดินเรือทางทะเล ตลอดจนการควบคุมเรื่องดังกล่าว กฎหมายการพาณิชยนาวีจะกล่าวถึงเรื่องต่อไปนี้ คือ (1) เขตอำนาจเหนือเรือ เหนือท่าเรือ เหนือกลาสี และเหนือน่านน้ำอาณาเขต (2) การฟ้องร้องทางแพ่งและทางอาญา (3) ทรัพย์ส่วนที่เป็นเรือและส่วนที่เป็นสินค้า (4) การขนส่งผู้โดยสาร (5) สิทธิของสมาชิกลูกเรือ และ (6) การควบคุมดูแลความปลอดภัย

ความสำคัญ เนื่องจากรัฐมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและการค้ากับการพาณิชย์ก็มีความสำคัญเพิ่ม มากขึ้นสำหรับรัฐต่าง ๆ เหล่านี้ ดังนั้นจึงก่อให้เกิดกฎเกณฑ์และข้อบังคับระหว่างประเทศมีปริมาณเพิ่มขึ้นมาก มาย เมื่อกฎเกณฑ์และข้อบังคับระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นมามากเช่นนี้แล้วรัฐต่าง ๆ ให้การรับรองถึงความจำเป็นว่าจะต้องมีแนวทางปฏิบัติเป็นอย่างเดียวกันมาก ขึ้น ความพยายามที่จะสร้างหลักปฏิบัติให้เป็นแบบเดียวกับของกฎหมายพาณิชยนาวีโดย สนธิสัญญาและการออกกฎหมายลูกต่าง ๆ ได้ประสบความสำเร็จมากพอสมควรในด้านต่าง ๆ คือ (1) ด้านการควบคุมสุขลักษณะ (2) ด้านการกู้ภัยและการให้ความช่วยเหลือ (3) ด้านการโดนกันของเรือ (4) ด้านความปลอดภัยทางทะเล (5) ด้านเส้นขีดเครื่องหมายแนวบรรทุกเต็มที่ (6) ด้านการใช้ท่าเรือพาณิชยนาวี (7) ด้านการประมงในทะเลหลวง และ (8) ด้านทะเลอาณาเขต แต่ถ้าหากไม่มีสนธิสัญญาต่าง ๆ ดังกล่าว เขตอำนาจเหนือการพาณิชยนาวีก็จะถูกกำหนดโดยกฎหมายภายในของรัฐต่าง ๆ

เขตอำนาจ : น่านฟ้า
อำนาจอธิปไตยของรัฐเหนือน่านฟ้าที่อยู่เหนือดิน แดนของตน เขตอำนาจเหนือน่านฟ้าของชาตินี้ได้รับการรับรองจากอนุสัญญาชิคาโกว่าด้วยการ บินพลเรือนระหว่างประเทศ (ค.ศ. 1944) แต่ก็ถูกจำกัดโดยสนธิสัญญาทวิภาคี และพหุภาคีที่รัฐอาจจะเป็นภาคีได้ การประชุมที่ชิคาโกได้ทำการจัดตั้งองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ไอซีเอโอ) ขึ้นมาเพื่อให้เป็นไปตามหลักการของอนุสัญญาและพัฒนาหลักเกณฑ์การสัญจรทาง อากาศระหว่างประเทศ เสรีภาพของการสัญจรทางอากาศอันเป็นหลักการทั่วไปมีอยู่เฉพาะเหนือทะเลหลวง และเหนือผิวโลกเฉพาะส่วนที่มิได้อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐใด ๆ เช่น ทวีปแอนตาร์กติกา เป็นต้น เครื่องบินของทางการทหารและของรัฐอื่น ๆ ถือว่ามิใช่ยานพาหนะปกตินั้น จะต้องได้รับมอบอำนาจพิเศษก่อนจึงจะใช้น่านฟ้าของรัฐอื่นได้

ความสำคัญ เขตอำนาจเหนือน่านฟ้าแห่งชาติเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นเพราะ เทคโนโลยีได้ทำให้การพาณิชย์ทางอากาศทำได้อย่างรวดเร็วและทำได้ในปริมาณที่ เพิ่มมากยิ่งขึ้น ก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขตอำนาจเหนือน่านฟ้าแห่งชาติมี 2 ทฤษฎี คือ (1) ทฤษฎีที่ให้เสรีภาพในการสัญจรทางอากาศ และ (2) ทฤษฎีที่ให้รัฐชาติทำการควบคุมการสัญจรทางอากาศ เมื่อได้มีการประดิษฐ์เครื่องบินทิ้งระเบิดและมีเครื่องตรวจจับทางอากาศที่ มีประสิทธิผลขึ้นมาแล้ว จึงได้มีการยอมรับกันโดยทั่วไปให้รัฐชาติทำการควบคุมการสัญจรทางอากาศนี้ แต่การพัฒนาทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้น มาทำให้เกิดปัญหาทางด้านปฏิบัติว่าอำนาจอธิปไตยของชาติเหนือน่านฟ้านี้จะให้ เหนือขึ้นไปไกลได้ขนาดใด เมื่อมีการส่งจรวด อาวุธปล่อย ดาวเทียม และยานอวกาศไปกลับโลกได้แล้ว ก็เป็นการเปิดศักราชใหม่ให้มีการเจรจาเพื่อพัฒนากฎหมายว่าด้วยอวกาศระหว่างประเทศ

เขตอำนาจ : การผนวกดินแดน
การได้ดินแดนเพิ่มโดยการประกาศของรัฐที่ได้ดินแดนว่า ตนได้ขยายอำนาจอธิปไตยและจะใช้เขตอำนาจศาลเหนือพื้นที่ที่ผนวกเข้ามานั้น

ความสำคัญ การขยายอำนาจอธิปไตยโดยการผนวกดินแดนนี้ อาจจะใช้ข้ออ้างต่าง ๆ เช่น (1) เป็นดินแดนที่ตนค้นพบเอง (2) เป็นดินแดนในความยึดครองของตนเอง หรือ (3) เป็นดินแดนที่ตนเองเข้าครอบครองมานานอย่างต่อเนื่อง เมื่อปี ค.ศ. 1938 ประเทศเยอรมนีประกาศผนวกประเทศออสเตรียโดยอ้างถึงพฤติกรรมของรัฐบาลออสเตรีย ว่าเป็นเหตุให้ต้องทำการเปลี่ยนแปลงออสเตรียมาเป็นรัฐหนึ่งของอาณาจักรไรช์ ของเยอรมัน การผนวกดินแดนอาจจะไม่ได้รับการต่อต้านจากฝ่ายที่สามก็ได้ ตัวอย่างเช่น กรณีของการผนวกเกาะแจนมาเยินโดยนอร์เวย์เมื่อปี ค.ศ. 1920 แต่การประกาศผนวกดินแดนอาจได้รับการประท้วงและอ้างสิทธิ์แย้งขึ้นมาได้ ตัวอย่างเช่น กรณีเกี่ยวกับสถานภาพทางกฎหมายของกรีนแลนด์ตะวันออกเมื่อปี ค.ศ. 1933 ซึ่งในกรณีนี้ผู้อ้างสิทธ์ทั้งสองฝ่ายคือเดนมาร์กและนอร์เวย์ได้นำเรื่อง เสนอให้ ศาลยุติธรรมถาวรระหว่างประเทศได้พิจารณา ซึ่งศาลฯ ได้ตัดสินให้ฝ่ายเดนมาร์กเป็นผู้ชนะคดี

12.รูปแบบการปกครองระบอบเผด็จการ

รูปแบบการปกครองระบอบเผด็จการ
ลัทธิเผด็จการมีอยู่คู่กับสังคมโลกมาตั้งแต่มนุษย์รวมกันเป็นสังคมยุคแรก ๆ เช่น สังคมเผ่าที่มีหัวหน้าเผ่าที่เป็นผู้ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ  ปัจจุบัน สังคมได้วิวัฒนาการไปมาก รูปแบบการปกครองของลัทธิเผด็จการก็มีหลากหลาย ทั้งนี้เนื่องจากประเทศนั้น ๆ ได้ พยายามที่จะเอาลัทธินี้มาเสริมแต่งให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ  สังคม และการเมืองของตน  เนื่องจากผู้นำเหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ตนอยู่ในอำนาจนานมากที่สุด
      1.เผด็จการอำนาจนิยม   หมายถึง การปกครองที่ใช้อำนาจเป็นหลักเกณฑ์สำคัญ  โดยมีอำนาจเป็นวิธีทางและจุดหมายปลายทาง  รัฐบาลจะเข้าคุมสิทธิและเสรีภาพทางการเมืองของประชาชน  และไม่ยอมให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองมีการตรวจสอบหรือใช้อำนาจสั่งปิดหนังสือพิมพ์โดยอ้างลัทธิชาตินิยมมาสร้างความ ชอบธรรมมาใช้กับอำนาจของตน  แต่รัฐจะยังคงให้เสรีภาพในทางเศรษฐกิจและสังคม  กล่าวคือ ประชาชนสามารถเลือกนับถือศาสนา  ดำเนินชีวิตส่วนตัวและ ธุรกิจอย่างเป็นอิสระพอเหมาะสมเผด็จการอำนาจนิยมจะมีการลงโทษผู้กระทำผิดต่อเกณฑ์ของบ้านเมืองอย่างรุนแรง ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนเคารพเชื่อฟัง  และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด  ผู้นำอำนาจนิยมนั้นจะพยายามแสวงหาอำนาจ  และเมื่อได้อำนาจจะใช้อำนาจบีบบังคับและกำจัดฝ่ายตรงข้ามหรือศัตรูทางการเมือง  หรือแม้แต่กลุ่มทางการเมืองอื่น ๆ ที่ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ  สังคมวัฒนธรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองหรืออาจได้รับผลกระทบ แต่เพียงเล็กน้อยเนื่องจากกลุ่มดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นศัตรูทางการเมืองโดยตรง
     2.เผด็จการเบ็ดเสร็จ  หมายถึง  การปกครองที่มีผู้นำซึ่งมีอำนาจสูงสุดเป็นผู้ใช้อำนาจเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียว  และอำนาจยังสามารถกำหนดจุดหมายปลายทางและวิธีการต่าง ๆ ได้โดยไม่มีขอบเขตจำกัดโดยพยายามสร้างอุดมการณ์ขึ้นมาเพื่อให้เกิดความชอบธรรมให้กับการใช้อำนาจนั้น ๆ  เช่น การจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา  แต่ผู้พรรคเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเข้าควบคุมอำนาจ  พยายามสร้างความสำนึกให้ประชาชนเคารพเชื่อฟัง และปฏิบัติตามอำนาจรัฐหรือคำสั่งผิดอย่างรุนแรง  เผด็จการประเภทนี้ใช้ความรุนแรงสังคมที่ปกครองโดยลัทธิเผด็จการ เบ็ดเสร็จ  จึงมีสภาพเป็น อาณาจักรแห่งความกลัวประชาชนไม่แน่ใจในสภาพของตนเองประชาชนจึงไม่วิพากษ์วิจารณ์หรือคัดค้านผู้นำจะว่าเป็นอาชญากรที่ต่อต้านรัฐ และจะถูกกำจัดออกไป

11.การปกครองระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของไทย